6.09.2562

[oneshot utapri] Dinner (RenMasa)

fan-fiction utapri

Title: Dinner
Pairing: Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
Rate: 18+
A/N: เป็นพลอตกระทันหันมากๆ แค่อยากเขียนฉากนึงเท่านั้น เลยออกมาเป็นฟิคสั้นๆ ภาษาน่าจะแกว่งไปมากเพราะไม่ได้เขียนมานานสุดๆ รู้สึกจะเขียนบรรยายยาวๆ ไม่ค่อยได้แล้ว
Warning: NSFW



               เม็ดฝนหยดลงตกพรำๆ กระจายเป็นสายน้ำกระดอนยามกระทบพื้น ความเย็นในห้องโดยสารของรถยนต์ทำให้ไอน้ำเกาะบนกระจก เบื้องหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงจึงต้องจอดหยุด แสงจากจอโทรศัพท์มือถือสว่างขึ้น กล่องเด้งเตือนขึ้นว่ามีข้อความเข้า นัยน์ตาคู่สีฟ้าสว่างจ้องมองชื่อที่ส่งมาไว้

'ฮิจิริคาวะ'

เล็กคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนที่จะกดเปิดอ่าน

'วันนี้น่าจะเลิกช้ากว่าที่บอก ขอโทษด้วยจินงูจิ'

จินงูจิ เร็น ถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจขับรถออกมาหลังจากที่เสร็จงานและแวะทำธุระที่ร้านขายของชำทันทีเพื่อให้ทันเวลาที่นัดกันไว้ แบบนี้กว่าจะถึงห้องก็คงดึกเป็นแน่ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

สายตาเหล่มองไปยังถุงใส่วัตถุดิบสำหรับเตรียมอาหาร ทิ้งไว้ในรถหลายชั่วโมงหวังว่าคงจะไม่เสียไปก่อน เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันที่ว่างตรงกันทั้งวันพอดีหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างติดงานจนแทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเลยเกือบเดือน เลยกะว่าจะกลับไปทำมื้อเย็นด้วยกัน
รออยู่พักใหญ่สัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาขับตรงไปยังสตูดิโอที่ฮิจิริคาวะไปทำงานในวันนี้ หลังจากได้รับบัตรผ่านก็เข้าไปลานจอดรถแล้วดับเครื่อง ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนถึงอีกฝ่ายจะเสร็จงาน ภายในรถเงียบสกัดได้ยินกระทั่งเสียงของเข็มนาฬิกาข้อมือขยับ น่าจะผ่านไปรางครึ่งชั่วโมงจึงมีเสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น

เจ้าของมือถือก้มลงอ่านก่อนจะขยับยิ้ม แขนยาวเอื้อมไปคว้าร่มคันใหญ่ที่อยู่เบาะหลังก่อนจะออกจากรถ กางร่มแล้วกดรีโมตสัญญาณเพื่อล็อคประตู รองเท้าเดินย่ำน้ำที่นองบนพื้น ส่งเสียงเจาะแจะไปตามทางจนไปถึงข้างในอาคาร ดวงตากวาดมองรอบๆ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่าไหร่นัก คงเพราะเลยเวลางานทั่วไปมามากแล้ว

               "จินงูจิเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียก ใบหน้าสละสลวยของชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินชะเง้อมองมาหลังจากที่เดินพ้นประตูตึก

               "ปล่อยให้รอนานเลยนะ ไม่ไหวเลยนายเนี่ย" เอ่ยบ่นเชิงหยอกไปเช่นนั้น แต่ใบหน้ายังคงวาดยิ้มไว้อยู่

               "ช่วยไม่ได้นี่ นายอยากรีบมารอเองทำไมล่ะ" ไม่ยอมปล่อยให้ถูกว่าฝ่ายเดียวหรอก ฮิจิริคาวะมุ่ยหน้าเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินไปยืนใต้ร่มที่อีกคนกางให้

ทั้งคู่เดินไปจนถึงรถคันที่จอดไว้ เสียงกดปลดล็อคดังขึ้น เจ้าของรถจะเปิดประตูให้ มือถือร่มไว้ระมัดระวังไม่ให้อีกคนเปียก เมื่อเห็นว่าเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินอ้อมเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ รอให้คนด้านข้างรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะสตาร์ทรถขับออกมา



               รถในท้องถนนยามดึกมีไม่มากน้อย จึงใช้เวลาไม่นานในการขับกลับมาถึงที่พักถึงจะฝนตกก็ตามที แผนที่วางไว้ดูท่าจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงห้องพร้อมขนข้าวของที่ซื้อมาก็จวนจะสี่ทุ่มเสียแล้ว โดยปกติแล้วหากต่างคนไม่ได้มีตารางงานแน่นฮิจิริคาวะก็จะมาค้างด้วยกันที่ห้องของเขา

               "ยังเรียกว่ามื้อเย็นได้หรือเปล่านะ?" เร็นพูดขึ้นมาระหว่างหยิบของออกจากถุงนำมาเรียงไว้บนเคาน์เตอร์ครัว ส่วนผักก็นำมาล้างในอ่างล้างจาน

หัวหน้าครัวในวันนี้เป็นฮิจิริคาวะ ส่วนเขาเป็นลูกมือ

               "ฉันถึงบอกให้นายหาอะไรกินตอนเย็นไปก่อนไงล่ะ" ฮิจิริคาวะเดินกลับมาพร้อมสวมคัปโปงิทับไว้ แขนเสื้อถูกพับขึ้นก่อนจะหยิบของบางส่วนที่ถูกวางเรียงรอไว้มาจัดการต่อ

หัวแครอทสีส้มถูกนำมาปอกเปลือกด้านนอกออก แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ส่วนอีกด้านจินงูจิกำลังหั่นหัวหอมใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วจึงหยิบกระทะทรงสูงมาวางไว้บนเตาไฟฟ้าก่อนจะเปิดเพื่ออุ่นให้ร้อนค่อยเทน้ำมันและหัวหอมลงผัด

               "ตรงนี้เรียบร้อยแล้วนะ~" เขาเบาไฟลงเล็กน้อย ชายหนุ่มหันมองคนที่ยืนข้างตัวพลางอมยิ้ม ฮิจิริคาวะมักจะเพลิดเพลินกับการทำงานบ้านรวมทั้งการทำอาหาร

               "ถ้าว่างนายก็ไปจัดโต๊ะเสียสิ" เจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่ากำลังถูกมองจึงเอ่ยไล่ให้ไปทำอย่างอื่นแทน ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเด็กไม่มีทางคลาดไปจากสายตาที่ว่องไว

คงจะรู้สึกเขินที่ถูกมองนานๆ ฮิจิริคาวะเบียดตัวมายืนไล่ที่เขา จัดการเทแครอทลงในกระทะพร้อมกับเครื่องปรุง

 เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหยิบจานและช้อนส้อมไปวางเตรียมบนโต๊ะกินข้าว ระหว่างที่กำลังจัดของอยู่นั้นก็เหลือบมองร่างที่กระดุกกระดิกตัวไปมาที่มุมครัวในห้อง เป็นภาพที่นานครั้งถึงจะได้เห็นทีเดียว ทุกครั้งที่กลับมาที่ห้องก็จะมีแต่เขาที่เดินวนไปมาคนเดียว ครั้งล่าสุดก็เดือนก่อนที่ได้เห็นภาพอีกคนมาอยู่ด้วยกันและใช้เวลาร่วมกันในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากงาน

จะว่าไปแล้วก็ชวนคิดถึงช่วงที่ฮิจิริคาวะจะคอยปลุกเขาตอนเช้าสมัยเรียน

               "ฉันว่ารสเค็มพอดีแล้ว นายลองมาชิมดูก่อนสิ" ฮิจิริคาวะหันมาแล้วเอ่ยเรียกให้ไปช่วยชิมรส

เขาเดินไปตามที่เรียกหา ชะเง้อหน้าจ้องในกระทะระหว่างรออีกคนตกน้ำขึ้นมาแบ่งใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นมาชิมริมฝีปาก

               "ระวังร้อนด้วย" เอ่ยเตือนไว้ขณะที่ควันยังคงโชยอยู่

จินงูจิเป่าเบาๆ ก่อนจะลองชิมรส มุ่นคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกคน ระหว่างนี้คงต้องตั้งทิ้งไว้รอให้เย็นลงก่อนถึงจะนำไปปั่นได้ อุปกรณ์ที่ใช้แล้วถูกวางไว้ในอ่างล้างจานเตรียมทำความสะอาด

               "จริงสิงานวันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?" จินงูจิเอ่ยถามเพื่อชวนคุย มักจะเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเพราะอีกคนนั้นไม่ค่อยเก่งเรื่องการเปิดบทสนทนา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรในความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ฮิจิริคาวะส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะเปิดน้ำล้างภาชนะในอ่าง

               "เพิ่งถามเรื่องนี้น่ะหรอ ก็นะพอบรรยากาศเงียบนายก็คงไม่ชอบนี่เนอะ" นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์เหล่มองมาอย่างรู้ทันก่อนจะเอ่ยตอบคำถามนั้น

               "รู้ทันจริงนะ ฉันก็อยากหาเรื่องชวนคุยนี่นา" คิดตามที่พูด เพราะไม่ได้ชวนคุยเรื่องทั่วไปแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว จินงูจิขยับตัวไปยืนใกล้ๆ แล้วช่วยรับจานที่ล้างน้ำยาแล้วมาล้างให้สะอาด

               "ก็แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันรู้ทันเรื่องนายหมดนั่นแหละ" ขยับยิ้มบางแล้วหันหน้าเอียงคอจ้องมอง

ภาพตรงหน้าทำเอาชะงักจนเกือบทำจานหลุดมือ

               "ให้ตายสิ.." เขารีบวางจานเก็บบนชั้นก่อนจะบ่นพึมพำ มือที่ยังเปียกน้ำอยู่คว้ารวบกอดอีกคนจากข้างหลังในทันที สองแขนโอบไว้ชิดพลางเกยคางบนหัวไหล่

ฮิจิริคาวะบ่นพร้อมขยับตัวขืนเล็กน้อยแต่ก็รู้แก่ใจว่าคงไม่ถูกปล่อยจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วล้างจานต่อไปจนเสร็จ

                    "นี่นายยังไม่ตอบเลย ว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง" จินงูจิคลอเคลียใบหน้าชิดกับหลังต้นคอเอ่ยถามย้ำอีกรอบ

ส่วนมือทั้งสองเริ่มขยุกขยิกบนอยู่ตัวจนฝ่ามือขาวต้องมาคว้าบีบไว้ให้อยู่นิ่ง

               "ก็เหนื่อยนิดหน่อย วันนี้ต้องเลื่อนเวลาถ่ายรายการเพราะฉากไม่พร้อมน่ะ" ฮิจิริคาวะเอ่ยตอบสาเหตุที่ทำให้วันนี้เลิกงานช้ากว่าตารางปกติ

มือคู่นั้นยังไม่เลิกซุกซนจนคนถูกกอดเริ่มมุ่นคิ้ว แถมคนข้างหลังยังเบียดตัวมาแนบชิดจนทำให้ต้องพิงกับขอบอ่างล้างจาน นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์มองไปทางกระทะที่ตั้งทิ้งไว้

               "มันยังไม่เย็นหรอกน่า.. คงอีกสักพัก" ทว่าจินงูจิคงจะรู้ทันเลยพูดขึ้นมาดักไว้ก่อน

ก็เข้าใจอยู่ว่าเกือบเดือนที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกันแบบนี้เลย ไม่ใช่แค่จินงูจิเท่านั้นที่รู้สึกโหยหา แต่ฮิจิริคาวะก็เองก็เช่นกัน ลมอุ่นหายใจรดที่ลำคอ ศีรษะเรือนผมสีน้ำเงินเอนพิงไปด้านหลัง

               "นี่..ฉันยังสวมคัปโปงิ..อยู่เลยนะ.." เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสที่รุกรานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเอ่ยเตือน

               "ใส่ไว้แบบนี้ก็ได้นี่" จินงูจิเอ่ยเสียงต่ำกระซิบข้างใบหูแล้วกดริมฝีปากแนบลงชิด

คนในอ้อมกอดสะดุ้งตัวก่อนจะร้อนวูบที่หู ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ปลายนิ้วลากบนหลังมือสีแทนก่อนจะผละออกปล่อยให้ขยับตามใจ สันจมูกไถลงบนพวงแก้มขาว ดันให้หันมาสบตา เลื่อนเข้าประกบจูบแผ่วเบารอให้แน่ใจจึงย้ำจูบด้วยรสที่หนักหน่วงขึ้น เปลือกตาทั้งคู่ปิดลงตอบรับสัมผัส ตักตวงเข้าไปยังในโพรงปากด้วยปลายลิ้น ลำตัวบิดเร่าตามฝ่ามือที่ลูบไล้ไปทั่ว ลงคลำที่สะโพกทั้งสองด้านก่อนจะถกผ้าสีขาวให้ขึ้นมาแล้วล้วงมือไปอยู่ข้างใต้ เข็มขัดถูกปลดออกอย่างรวดเร็วก่อนขอบกางเกงจะถูกดึงให้ร่วงลงมากองที่ข้อเท้า ผิวเปลือยที่ช่วงล่างรู้สึกเย็นวูบจนเผลอเกร็ง

               "จินงูจิ.." ฮิจิริคาวะขยับผละจูบออกมาพลางหอบหายใจ แววตาที่กำลังสั่นไหวจ้องไปยังนัยน์ตาคู่สีฟ้า

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกโน้มตามไปหาแล้วเม้มกลีบปาก เลื่อนสองมือบีบคลึงบนเนื้อขาวจนทำให้ผิวกายอุณหภูมิสูงขึ้น

               "ฉันคิดถึงนายจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ..มาซาโตะ" เขาเอ่ยเสียงพร่าส่งสายตาเว้าวอน

ดวงหน้าแต้มไฝเสน่ห์ของคนถูกเรียกชื่อจริงแดงก่ำ เม้มปากแน่นแล้วผงกศีรษะเชิงอนุญาต ร่างกระตุกยามที่ถูกสัมผัสเล้าโลม ขาทั้งสองสั่นระริกเมื่อถูกล่วงล้ำที่เบื้องหน้า แทบจะอ่อนยวบเมื่อได้รับการปรนเปรอ ร่างกายนี้ช่างตอบสนองไวเกินคาดคงเพราะทนคิดถึงสัมผัสจากจินงูจิไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

               "อืม..ถ้าทิ้งไว้...เกินยี่สิบนาที...ซุปจะชืดเอานะ.." เสียงสั่นไปหมด พิงตัวไปหาร่างที่กอดอยู่ข้างหลัง

               "เข้าใจแล้ว~" จินงูจิหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบรับ



               หยดเหงื่อไหลไปตามแขนเรียวลงมาหยุดบนที่ข้อมือซึ่งวางเท้าไว้กับขอบของเคาน์เตอร์ครัว ปลาบเล็บจิกลงขณะใช้มือยันร่างไว้รองรับแรงโถมจากด้านหลัง ฮิจิริคาวะส่งเสียงครางปนหอบหายใจแรง ริมฝีปากสั่นเทิ้มบิดตัวงอตามความกระสันจากสัมผัสวาบหวาม เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังอยู่ที่ท่อนล่าง บั้นเอวถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองจนเป็นรอยแดง กายที่สอดประสานกันขยับเป็นจังหวะเร่งเร้าชวนเสียววาบที่ช่วงท้อง ติ่งหูถูกขบเม้มหยอกขณะกระซิบปลอบโยนด้วยถ้อยคำหวาน ปรือตามองก็เห็นเส้นผมส้มทองคลอเคลียอยู่ข้างศีรษะ

               "เร็น..." เรียกด้วยเสียงแผ่ว กลีบปากวาดยิ้มให้อย่างยั่วยวน

และก็ถูกช่วงชิงไปด้วยรสจูบร้อนแรงในทันที สะโพกแอ่นโก่งรับเป็นอย่างดี ปล่อยให้เนื้อตัวถูกปรนเปรอตามที่มอบให้ อารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้เต็มไปด้วยความใคร่รักและลุ่มหลง ทั้งสองต่างกำลังเติมเต็มความโหยหาซึ่งกันและกัน ช่วงเวลานี้มีเพียงพวกเขาแค่นั้น จนในที่สุดก็พากันมาถึงปลายทาง

ทุกความปรารถนาที่อัดอั้นได้ถูกปลดปล่อยจนล้น ท่อนขาสั่นเปื้อนเยิ้มด้วยของเหลว ผืนผ้าสีขาวยับยู่ยี่เปรอะเหนียวไปหมด แทบจะทรุดฮวบเมื่อจินงูจิถอนกายออกมา สองแขนช่วยประคองตัวไว้อย่างทะนุถนอม กดริมฝีปากลงไล่หอมแก้มระเรื่อ

               "นายทำอาหารต่อเองแล้วกัน...ฉันคงยืนไม่ไหวแล้ว" ฮิจิริคาวะเอ่ยอย่างยิ้มขำ ตอนแรกก็อยากโกรธที่ทำคัปโปงิเปื้อนขนาดนี้ แต่ตัวเองก็มีส่วนผิดด้วย อย่างน้อยก็ขอเอาคืนเรื่องอื่นก็ยังดี

               "แย่เลยนะ กว่าจะเสร็จคงเที่ยงคืนเลย แต่ก็ยังดีที่ได้กินมื้อพิเศษรองท้องไปแล้ว" จินงูจิหัวเราะแล้วยิ้มกริ่ม

เขายกตัวอีกคนขึ้นอุ้มอย่างง่ายดายก่อนจะพาไปล้างตัว หลังจากเรียบร้อยดีก็ช่วยแต่งตัวสวมชุดใหม่แล้วพยุงมานั่งรอที่โต๊ะอาหาร
พอเดินกลับมาที่ครัวก็ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นซุปในกระทะเย็นหมดแล้ว ดูท่าคงจะต้องใหม่อีกรอบก่อนเอาไปปั่นซึ่งเสียงบ่นก็ดังไล่หลังมาจากคนที่นั่งรออยู่

สักพักใหญ่จึงค่อยยกไปเสิร์ฟให้ถึงที่พร้อมขนมปังที่ซื้อมา คนที่นั่งอยู่ทำท่าสนใจขนมปังมากกว่าซุปแครอทที่ช่วยกันทำเสียอีก ก็เรื่องปกติล่ะนะ

               "ทานแล้วนะครับ" เร็นเอ่ยพูดพร้อมอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มกินมื้อเย็นที่ข้ามวันไปแล้ว

แต่ถึงเวลาจะไม่ใช่แต่บรรยากาศแบบนี้ที่มีอีกคนอยู่ด้วยก็ทำให้เป็นมื้อเย็นมากกว่าครั้งไหนๆ


และพรุ่งนี้ก็จะได้มีมื้อเช้ากันอีกด้วย



-END-


1 ความคิดเห็น:

  1. โง้ยยยยยยยยยยยยยยยย

    คือเหมาะกับการนิยามด้วยประโยค "เห็นคู่ชิปมีรักกันดีเราก็มีความสุข" แอแอ

    เป็นช่วงเวลาธรรมดา ๆ ที่ตลบอบอวลไปด้วยความรักจริง ๆ

    //ช่วยไปคั้นน้ำเลม่อนให้กินกับซุปแครอท อิ_อิ

    ตอบลบ