Fan-fiction Utapri
Title : Majestic Spiky's collar
Pairing : Camus x Kurosaki Ranmaru
Genre : AU, Drama(little)
Note : อ้างอิงธีมหลักจาก Joker Trap
[3]
เสียงลมหายใจที่ผ่อนออกคล้ายจะติดขัด
คิ้วคู่มุ่นขมวดอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่นัก ร่างที่ห่มด้วยเสื้อโค้ทซึ่งนอนพิงโซฟาขยับไปมาอยู่หลายครั้งราวกับว่ากำลังอึดอัดอยู่
ดูท่าว่าจะกำลังฝันร้ายอยู่เป็นแน่ อความารีนเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งในใจหนึ่งก็คิดจะปลุกจะเป็นการดีกว่าปล่อยให้อีกคนนอนซึมเหงื่อดิ้นไปมาแบบนี้
แต่อีกใจก็คิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่จะปลุกเจ้าคนที่หลับลึกถึงขนาดถ้าบ้านพังก็คงไม่ยอมตื่นง่ายๆอย่างเช่นคนตรงหน้านี้
แถมใบหน้าที่ไม่บูดบึ้งใส่ของอีกคนก็หาดูได้ยากเสียด้วย
หน้ายุ่งๆยามหลับแบบนี้ก็ชวนมองไปอีกแบบ..
ดูจากภายนอกแล้วคงเดาไม่ออกเลยจริงๆว่าจะมีด้านที่คาดไม่ถึง
ภายในความแข็งกร้าวที่ถูกสร้างขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้ข้างในนั้นยังคงมีสิ่งที่ซ่อนไว้อยู่
ใครว่าหากจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้มิดชิดเสียแค่ไหนแต่ดวงตาก็ยังสามารถสะท้อนสิ่งที่ปิดบังไว้ออกมาอยู่เสมอ
คงไม่จริงเสมอไป.. นัยน์ตาคู่นี้ที่เพ่งมองมาเหมือนกั้นไว้ด้วยกำแพงหนาไม่ให้จ้องลึกเจาะเข้าไปข้างในจิตใจได้เลยแต่สักนิด
นับตั้งแต่เผลอสบไปในครั้งแรกรู้สึกได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
แสงวาบในความมืดเด่นชัดแม้ระยะนับร้อยหลา
ภาพของดวงหน้าขาวเปื้อนด้วยเลือดแดงชาดถูกมองผ่านเลนส์กลมที่กล้องส่องของปืนไรเฟิล
ยังตรึงอยู่ไม่เคยเลือนดวงตาที่ไม่แม้แต่ระริกไหวยาม ‘ลงมือ’
ไร้ความลังเลที่จะ ‘สังหาร’
หากแต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานความสุขุมนั้นกลับหายไปเมื่อร่างของชายตรงหน้าเสร็จสิ้นจากการค้นร่างที่นอนแน่นิ่งไป
ฉับพลันที่แววตาคู่นั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจะเปรียบคงจากหมาป่ายามล่าเหยื่อสุดจะเยือกเย็นกลายเป็นลูกหมาเชื่องๆที่กำลังสั่นกลัว
เป็นความบังเอิญที่เขาถูกชิง ‘เหยื่อ’ ตัดหน้าไป
แต่ก็ทำให้พบกับสิ่งที่น่าสนใจ..
ก็แค่น่าสนใจก็เท่านั้น
ตกอยู่ในภวังค์ความคิดนานพอดูกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่แพขนตาของคนหลับขยับปรือขึ้น
มุมปากที่ยกขึ้นนิดๆสลายไปในทันทีก่อนจะตีสีหน้านิ่งตามปกติดั่งเช่นที่ทำอยู่เป็นประจำ
คามิวเอนหลังพิงพนักแล้วยกแขนขึ้นกอดอกเหล่สายตามองร่างที่บิดขี้เกียจหลังจากที่ตื่นนอน
แขนทั้งสองข้างยืดขึ้นไปเหนือศรีษะขณะที่ปากอ้าหาววอด
ส่วนอเล็กซานเดอร์ที่นอนอยู่นั้นก็ตื่นขึ้นมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกันก่อนจะลุกขึ้นยืดขาบ้างก่อนที่จะสลัดหัวไปมาเป็นจังหวะพร้อมกันกับอีกคนพอดี
“ตื่นมาพอดีเวลาน้ำชาเลยนี่” น้ำเสียงราบเรียบชวนให้คนที่ยังงัวเงียรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่ได้ยิน
คุโรซากิผูกคิ้วเหลียวศีรษะมามองเขาที่นั่งบนอยู่โซฟา
เพียงสบสายตากลับไปเท่านั้นอีกคนก็หลบตาไปเสียเอง
หลังจากที่หายจากความง่วงแล้วอีกฝ่ายเพิ่งจะรู้ว่าที่บนตัวนั้นมีเสื้อโค้ทคลุมเอาไว้อยู่
คุโรซากิก้มมองอยู่สักหนึ่งก่อนจะร่นมันออกแล้วหยิบขึ้นมาวางพาดไว้ข้างๆเขาแทน
“เหลือแค่ Lady
grey ส่วนของหวานไม่ได้ทำ” เป็นประโยคบอกเล่าไม่ได้ต้องการทำตอบหรือคำปฏิเสธ
ร่างโปร่งลุกขึ้นก่อนจะยกฝ่ามือลูบใบหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกไปจากโถงใหญ่เพื่อตรงไปยังห้องครัว
คามิวถอนหายใจยาวขณะมองตามแผ่นหลังที่เลี้ยวพ้นกำแพงไปแล้ว
ก็แค่พูดทักว่าเป็นเวลาน้ำชาเฉยๆเอง ยังไม่ทันจะบอกให้ไปทำอะไรเลยแท้ๆ
แต่ก็เอาเถอะ.. ได้นั่งจิบชาพักก็น่าจะดีแล้วนี่นะ
บอซอยด์ขาวเขยิบตัวเข้ามานั่งใกล้ๆขายาว
ใบหน้าแหงนเชิดเล็กน้อยพอดูสง่าก่อนจะหลับตาเคลิ้มเมื่อเขาเอื้อมมือไปลูบเบาๆบนศีรษะ
นั่งรอเพียงไม่นานนักถ้วยชาบนจานรองก็ถูกนำมาวางเสิร์ฟให้บนโต๊ะเล็กข้างๆ
ถุงชาที่แช่ถูกนำออกไปก่อนหน้าแล้ว กลิ่นหอมโชยแต่ไม่ฉุนจนเกินไป
คามิวหยิบแห้วสีขาวขึ้นมองดูสีของชาที่เข้มกำลังพอดีก่อนจะวางไว้ตามเดิม
ฝาของถ้วยน้ำตาลถูกเปิดออก
ทันทีที่เสียงช้อนกระทบเบาๆกับถ้วยใบหน้าของชายที่ยืนมองก็ทำหน้าหน่ายขึ้นมา
ก้อนเหลี่ยมๆสีขาวถูกหย่อนลงในถ้วยชาทีละก้อนทีละก้อน
ระดับน้ำในถ้วยโคลงไปตามแรงที่น้ำตาลก้อนถูกใส่ลงมาจนบางครั้งเกือบจะล้นออก
“Lady
grey
ใครเขาใส่น้ำตาลกันบ้างฟะ” ยืนมองคนที่แทบจะเทน้ำตาลก้อนทั้งหมดนั่นลงถ้วยก็อดจะพูดขึ้นมาไม่ได้
“หึ..รสชาติที่ไร้ความหวานของน้ำตาลน่ะช่างไร้รสนิยมสิ้นดี”
เสียงช้อนขูดน้ำตาลก้อนสีไปกับก้นแก้วดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะยกขึ้นดื่ม
สายตานั่นมองมาอย่างแหยงๆก่อนจะถอนหายใจแล้วยักไหล่เบาๆ
“ก็ไม่ได้คิดอยากจะเข้าใจรสนิยมเพี้ยนๆของแกล่ะนะ” คุโรซากิยืนอยู่แบบนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
คงจะกำลังยืนรอเก็บถ้วยชา
อเล็กซานเดอร์ที่นั่งนิ่งอยู่เมื่อเห็นหน้าอีกคนก็เริ่มขยับไปมาก่อนจะหันมองมาทางเขาคล้ายจะขออนุญาตไปเล่นกับอีกคนอย่างไรอย่างนั้น
เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงอนุญาติก่อนที่เจ้าบอซอยด์จะวิ่งไปคลอเคลียที่ขาของอีกฝ่าย
“ดูท่าจะเข้ากันดีนี่..
แอบมาเล่นกับสุนัขของข้าบ่อยอย่างนั้นรึ?”
คามิวเอ่ยถามขณะจ้องผู้ที่ย่อตัวลงไปเกาคางสุนัขของเขาแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างอัตโนมัติ
ทั้งที่เวลาปกติไม่เคยเห็นภาพแบบนี้แท้ๆ
“ทำไมฉันจะต้องแอบ?
แกไม่อยู่เองต่างหาก”
รอยยิ้มที่วาดเมื่อครู่หุบแทบจะทันทีที่ถูกทักก่อนใบหน้านั่นจะกลับมาจ้องเขาแบบหน่ายๆดังเช่นเดิม
“ข้าก็แค่แปลกใจ
ตั้งปีกว่าแล้วก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก” จริงที่ว่าระยะเวลาที่คุโรซากิเข้ามาอยู่นั้นนับได้เป็นปีแล้ว
แต่ก็มีเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันตลอดเวลานี้อีกเช่นกัน
เพื่อที่จะจับตาดูให้แน่ชัดว่าสามารถที่จะไว้ใจได้หรือไม่
ตลอดเวลามานี้ไม่เคยมีท่าทีน่าสงสัยแต่อย่างใด
งานทุกอย่างก็ทำตามไม่มีผิดพลาดจะเว้นก็แต่ขัดคำสั่งบ้างแต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรเสียหายเกินไปกว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บเสียเอง
ไม่มีการติดต่อใดๆกับผู้อื่น
ไม่มีอุปกรณ์สื่อสารหรือติดตามใดๆในร่างกาย
แม้จะถูกเพ่งเล็งไว้มากตอนช่วงแรกจนเริ่มจะวางใจได้แล้ว
แต่ในตอนนี้การเคลื่อนไหวของบางอย่างทำให้น่าเป็นห่วงว่าคนตรงหน้าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง
คงจะใช้สายตาในการมองอย่างตรวจตราอีกฝ่ายมากจนเกินไปจนทำให้รู้ตัวเสียก่อน
“ฉันไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องอะไรทั้งนั้น”
ระยะสายตาที่จ้อง ลักษณะการมองการเพ่งพอจะรับรู้ได้ว่ากำลังถูกตรวจสอบ
คุโรซากิพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“ข้ายังไม่ทันพูดว่าอะไรเสียหน่อย” เขาหลับตาลงเบาๆพลางยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
เรื่องมีปากเสียงกันนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่บทสนทนาในครั้งนี้ออกจะดูจริงจังไปกว่าทุกครั้ง
ทั้งที่ปกติเวลาเริ่มจะไม่ลงรอยกันอีกคนจะเป็นฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงใส่ในยามที่รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิด
แต่คราวนี้กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแสดงความไม่พอใจออกมาแทน
อาจจะสมควรอยู่
เพราะการกระทำนี้เป็นสิ่งที่สื่อออกไปว่าไม่ไว้เนื้อเชื่อใจอีกคน
มันก็สมควรแล้ว..
ริมฝีปากขยับยิ้มเยาะตัวเองขณะวางแก้วชาลงในอ่าง
น้ำยาล้างจานถูกบีบใส่ฟองน้ำนุ่มก่อนจะใช้ถูทำความสะอาดเครื่องถ้วยชามต่างๆ
คนที่ไม่เคยไว้ใจใครอย่างเขาก็ไม่สมควรจะได้รับการไว้วางใจจากคนอื่นเช่นกัน
พยายามไม่คิดว่าเป็นพวกพ้อง พยายามไม่สำคัญตัวว่าเป็นส่วนหนึ่ง
พยายามที่จะไม่ผูกมัดหรือมีความสัมพันธ์อะไรมากกว่าไปกว่าคำว่าผู้รับงานและผู้สั่งการ
มันเป็นสถานะเดียวที่เขารู้จักและเลือกที่จะเป็นแบบนี้ไปตลอด
เพราะไม่มีทางที่จะโดน ‘หักหลัง’ ได้อีก
“คุโรซากิ”
เสียงเอ่ยเรียกนั้นไม่ได้ทำให้เขาหยุดทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่
เจ้าของนามเพียงเอ่ยตอบกลับไปเป็นการขานรับแทน
“มีอะไร?”
พูดอย่างห้วนๆดังเช่นทุกครั้ง
“เตรียมสภาพสังขารเจ้าไว้ซะ
พรุ่งนี้จะเริ่มดำเนินการตามแผนต่อ” ไม่รู้ว่าคนพูดเอ่ยด้วยสีหน้าแบบไหนแต่ก็คงเดาออกว่าคงไม่ได้แตกต่างไปจากทุกที
ถึงจะอยู่ในขั้นต้องจับตาดูแต่เขาก็ยังทำงานได้อยู่สินะ
ไม่สิ..การส่งออกไปทำงานต่างหากที่เป็นการพิสูจน์ว่าเขายังสามารถใช้การได้อยู่หรือเปล่า
และถ้าหากมีจุดที่ทำให้ต้องสงสัยแล้วล่ะก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งไปทั้งอย่างนั้นเลยก็เป็นได้
จะยังไงก็ช่าง.. ต้องถูกมองยังไงก็ช่างมัน
เพราะยังไงเสียสิ่งที่เขาไม่มีทางจะทรยศอย่างแน่นอนก็คือคำสาบานนั่นที่ให้ไว้กับตัวเอง
จะถูกพรากศักดิ์ศรี หรือต้องหันหลังให้กับทุกสิ่ง
ถ้ามันเป็นหนทางเดียวที่จะได้ล้างแค้นผู้ถือโซ่ตรวนนี้อยู่อีกฝั่ง..
เขาก็เลือกที่จะลากมันลงนรกไปพร้อมกับตัวเอง!
มีโอกาสสูงที่เจ้านั่นมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรที่เขากำลังสืบอยู่
จากที่เคยทำงานให้ฮาริยะแวดวงของการติดต่อส่วนมากมักจะเป็นสินค้าเถื่อนหรือผิดกฎหมาย
วิธีการดำเนินงานก็เหมือนทุกครั้งคือเข้าไปติดต่อขอเป็นคู่ค้าก่อนจะเข้าแทรกซึมแย่งหุ้นส่วนอื่นที่กำลังติดต่อด้วยทั้งหมดมายังฝ่ายตัวเองก่อนจะกำจัดเสาหลักทิ้งแล้วแปลงสภาพตัวเองเป็นเสาต้นใหม่แทนส่วนตัวเขาจะเป็นหน่วย ‘ตามเก็บกวาด’ ใช่ว่าจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดี..
แต่มันก็มีเหตุผลที่ทำให้ทำไมเขาถึงยอมเป็น ‘หมารับใช้ผู้ซื่อสัตย์’
อยู่หลายปี...
จำยอม?
ถูกหลอกใช้ต่างหาก..
คิดแล้วก็สมเพชตัวเองชะมัด.. ฟันคมกัดแน่นกรอดพลางกำมือจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้น
ในตอนนั้นทั้งที่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ..แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นกลับยิ่งทำให้เขารับรู้ถึงคำที่ว่า ‘ระดับที่ต่างกัน’ ขนาดอยู่ตรงหน้ายังไม่สามารถจะทำอะไรได้..ทั้งที่อุตส่าห์เข้ามาอยู่ที่นี่เพื่อหวังจะได้เข้าใกล้ในจุดที่จะล้างแค้นได้แล้วแท้ๆ..
สุดท้ายก็ต้องเลือกหนทางที่ตัวเองรังเกียจที่สุดจนได้..
“มาเร็วดีนี่” เขาเอ่ยทักชายในสูทดำเดินตรงเข้ามา
ณ จุดนัดพบแถวโกดังร้างซึ่งมักจะเป็นจุดส่ง ‘ของ’ ซึ่งค่อนข้างตั้งอยู่บริเวณที่ไม่มีใครรู้จักเสียเท่าไหร่
สายตากวาดมองไปยังบริเวณรอบๆตรวจเช็คให้แน่ใจ
มาคนเดียว?.. ออกจะดูประมาทไปหน่อยล่ะมั้งสำหรับหมอนี่..
“ส่วนของหนี้..ที่ติดแกไว้”
ชิพขนาดเล็กซึ่งบรรจุอยู่ในซองใสถูกส่งมอบวางไว้บนฝ่ามือหุ้มหนังสีดำ
เมื่อรับมาแล้วอีกฝ่ายกลับไม่คิดจะตรวจเช็คใดๆเลยแต่ใส่เก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเสียอย่างนั้น
“ทำงานได้ดีเหมือนก่อนเลยนะ..”
ผู้พูดเอ่ยแล้วเว้นจังหวะก่อนจะขยับวาดยิ้มที่มุมปาก
“แต่ผมเกรงว่าเธอคงไม่ใช่หมาเชื่องๆเหมือนแต่ก่อนเสียแล้วสิ..”
มือที่กระชับปืนที่ซุกอยู่ใส่สูทต้องชะงักไว้ก่อน รันมารุจ้องรอยยิ้มแฝงเลศนัยนั่นอย่างไม่ไว้ใจสุดๆ
รู้อยู่หรอกว่าการที่เขารับข้อเสนอที่ถูกยัดเยียดนั่นมาย่อมต้องเสียเปรียบอยู่แล้ว
แต่ว่าสีหน้าที่ฉายว่าถือไพ่เหนือกว่าอยู่นั้นทำให้เขาเริ่มคิดว่าสถานะตัวเองตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบกว่าที่คาดเอาไว้
“คงรู้อยู่สินะว่าถ้าผมหาตัวเธอพบ..ก็แปลว่าไม่ยากเลยที่ผมจะตามตัว‘บุคคลอันเป็นที่รัก’ของเธอเจอได้เหมือนกัน”
!?..
นัยน์ตาค้างนิ่งราวกับถูกสะกดให้เป็นหิน ชั่วครู่ที่พยายามตีสีหน้าให้ดูเป็นปกติ
“พูดอะไรของแก..” เขากดเสียงต่ำถามกลับไปโดยคุมไม่ให้สั่นจนจับสังเกตได้
ไม่มีทาง..
ฮาริยะเพียงหยิบแผ่นกระดาษแข็งที่น่าจะเป็นรูปถ่ายขึ้นมาก่อนจะใช้นิ้วชิ้วและนิ้วโป้งออกแรงกดให้เด้งมาทางเขา
รันมารุรับมาไว้ในมือก่อนที่จะจ้องแล้วเบิกตาโพลง อีกฝ่ายมองท่าทีของเขาด้วยใบหน้าระรื่นยิ้ม
เรื่องนี้แม้กระทั่งคนในองค์กรเองก็ยังไม่รู้..
“ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเลยทีเดียวที่น้องสาวกับคุณแม่ของเธอไม่ได้ตายไปพร้อมอุบัติเหตุครั้งนั้นจริงๆ”
ภาพถ่ายที่เห็นอยู่นี้..ไม่ได้ตัดต่อ..
เด็กสาวกับผู้หญิงในรูปนั้นเป็นมุมที่แอบถ่ายมา
วิวที่ด้านหลังนั้นก็คือสถานที่ที่เขาคิดว่าจะไม่มีใครตามไปเจอได้แล้วแท้ๆ
“ทุกวิธีการทุกอย่างที่เธอรู้..ก็มาจากผมที่สอนให้ทั้งนั้น”
ยังไม่ทันจะทำอะไรกลับเป็นเขาที่เดินเข้าไปติดกับดักอย่างง่ายดาย
“คิดจะตลบหลังผมมันออกจะเร็วไปหน่อยนะ..ว่ามั้ย?”
-TBC.-