Title : Down the line
Pairing : Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
Rate : PG-15
A/N : เป็นพล็อตที่อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ล่ะค่ะ ภาษาเรื่องนี้อาจจะดูแกว่งๆเมาๆไปบ้างเพราะเราไม่ได้แต่งต่อเนื่องจนจบ มีเหตุติดขัดทำให้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ กว่าจะปิดเรื่องนี้ก็ใช้เวลาหลายวันเลยล่ะ
แล้วก็อันที่จริงมีฉากที่อยากแต่งมากเลยทำให้เข็นฟิคสั้นเรื่องนี้ออกมาค่ะ 55 เดาถูกรึเปล่านะว่าฉากไหน
รู้สึกตัวเองจะห่างจากการแต่งคุณเร็นช่วงที่กำลังซึนและจูนิเบียว(?)มานานพอควรเลย คาร่าอาจจะดูแปลกไปบ้างต้องขออภัยด้วยค่ะ
เสียงหอบอ่อนดังอยู่พักใหญ่ก่อนร่างเปล่าจะพลิกกายที่เริ่มฟื้นตัวจากอาการล้าลุกขึ้นนั่งบนเบาะนุ่ม
ฝ่ามือยังคงชื้นด้วยเหงื่ออยู่เล็กน้อย เหยียดแขนไปเพื่อเอื้อมคว้ายูคาตะที่กองอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวม
นัยน์ตาอเมทิสต์เหลือบมองค้อนใส่คนหน้าระรื่น
ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายนั่นขยับยิ้มยียวนกลับมาก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดกว่าเก่า
“พอใจแล้วล่ะสิ?”
ฮิจิริคาวะเอ่ยอย่างกระแทกกระทั้นพลางยันร่างให้ลุกขึ้นจากเตียง
ขณะที่ก้าวขาเดินตรงไปทางห้องน้ำของเหลวจากกิจเมื่อครู่ที่คั่งค้างอยู่ก็ไหลย้อนออกมาเปรอะไปตามเรียวขาขาว
ความอุ่นที่ไหลอยู่บนผิวกายนั่นทำให้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
มาซาโตะกัดริมฝีปากแน่นและค่อยๆเดินต่ออย่างช้าๆ
“อันที่จริงก็ยังหรอกนะ..”
เสียงของสปริงเบาะที่นอนดังขึ้นเมื่อร่างของจินงูจิเขยิบตัว
ดวงตาสีฟ้าสว่างจ้องไปยังท่อนขาที่เลอะด้วยคราบน้ำสีขุ่นขาว
“ฉันจะไปล้างตัว..
สกปรก” ฮิจิริคาวะเอ่ยและจงใจเน้นที่คำหลังจิกกัดคนโลภ
ร่างสูงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า
กว่าอีกฝ่ายจะร่วงรู้ก็จัดการคว้าตัวเข้ามากอดไว้ได้แล้ว
สองแขนโอบไว้ที่เอวรั้งร่างของคนหน้าหงิกให้เข้ามาชิด
ใบหน้าคนกะล่อนโน้มมาคลอเคลียที่ข้างใบหู
“ฉันช่วยนะ..”
กดเสียงต่ำกระซิบบอกแล้วดันพาร่างของคนด้านหน้าตรงเข้าไปด้านในห้องน้ำ
เสียงสายน้ำจากฝักบัวตกลงกระทบพื้นกระเบื้องซ่าเซ็งคลอไปกับเสียงคราง
ธารใสไหลทั่วผิวเปลือยของกายทั้งสอง กระจกบานใหญ่ขึ้นฝ้าจากไอร้อน
ฝ่ามือขาวปะลงบนระนาบก่อนจะถูกทาบด้วยมือที่ใหญ่กว่า
นิ้วยาวแทรกไว้ระหว่างนิ้วเรียวพาลากลงจนรอยขุ่นเลือนไปเป็นทางยาว
สะท้อนเสี้ยวใบหน้าที่แดงก่ำส่วนที่เหลือมีเพียงเงามัว
สัมผัสอันวาบหวามพร้อมกับถ้อยคำหวานที่พร่ำบอกข้างใบหู
เป็นเรื่องปกติ..
ในความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติของพวกเขาทั้งสอง
เพราะพวกเขาไม่ใช่คนรักกัน..
“ท่านเร็น
คราวหน้าต้องพาฉันไปนะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยเสียงหวานอย่างออดอ้อน
ประโยคนั้นดังมาจากหนึ่งในกลุ่มนักเรียนหญิงที่ยืนห้อมล้อมชายหนุ่มผมประกายทอง
ข้างกายของชายที่ชื่อจินงูจิ เร็นมักจะมีสาวๆล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เสมอ
โปรยรอยยิ้มและเอ่ยคำหวานหลอกล่อให้หลงเสน่ห์ แต่ถ้อยคำที่ออกจากปากคนเจ้าเล่ห์คนนี้เชื่อถือไม่ได้สักอย่าง
“เร็นนี่ป๊อปปูล่าห์ในหมู่สาวๆเลยน้า~”
ชายผมแดงเอ่ยด้วยความอิจฉาเล็กๆพลางใช้ช้อนตักแกงกะหรี่ขึ้นมา
“ฉันเห็นแล้วรู้สึกน่าหมั่นไส้มากกว่า”
ชายหนุ่มร่างเล็กบ่นด้วยความเอือมระอา
เพราะเป็นเพื่อนร่วมคลาสกันจึงมักจะเห็นภาพแบบนี้อยู่เป็นประจำ
ไหนจะตอนนั่งกดมือถือตอบข้อความสาวๆในคาบเรียนอีก คนขี้หลีนี่มีอะไรดีนักนะ
“นี่ๆมาสะล่ะ
คิดว่ายังไงบ้างหรอ?” เสียงวางช้อนดังก่อนจะตามมาด้วยเสียงวางฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะ
โอโตยะลุกชะเง้อหน้ามาหาผู้ร่วมโต๊ะอีกคนที่นั่งเงียบมาตลอด
ฮิจิริคาวะเงยหน้าขึ้นก่อนจะเหลือบสายตามองไปยังรูมเมทของตนเอง
“แค่ไม่ไปทำผิดกฎจนถูกไล่ออกก็คงจะไม่น่าจะเดือดร้อนแล้วล่ะ”
ตอบเสียงราบเรียบด้วยใบหน้านิ่ง
ไม่ได้นึกอยากจะสนใจนักหรอก ถึงหมอนั่นจะทำตัวเหลวไหลยังไงแต่จินงูจิไม่ใช่พวกที่จะถอดใจหรือโยนความฝันของตัวเองทิ้งได้
ถ้าต้องถูกไล่ออกไปจริงๆล่ะก็..
“นินทาฉันกันอยู่หรอ?~”
เสียงคุ้นหูที่แทรกขึ้นมานั่นทำให้ทั้งวงต้องสะดุ้ง
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาขยับยิ้มมองพลางหัวเราะขำ จินงูจิเอ่ยทักทายคนในโต๊ะด้วยชื่อเล่นประหลาด
ยืนพูดคุยอยู่สักพักชายหนุ่มก็ลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้วย
“น่าแปลกใจจังนะที่นายก็สนใจเรื่องฉันด้วยน่ะ
ฮิจิริคาวะ~” จินงูจิทำเสียงหยอกใส่และเขยิบเก้าอี้ให้ไปชิดตัวอีกคน
ฮิจิริคาวะหันขวับกลับไปจ้องอย่างไม่พอใจเท่าไหร่
“ก็นายชอบทำตัวให้เป็นที่สนใจอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
ชายหนุ่มเริ่มแขวะกลับพร้อมทำหน้าบึ้ง
“เห~ ก็เพราะเอาแต่ทำหน้าแบบนี้นั่นแหละนะเลดี้ถึงหนีหายไปหมดน่ะ”
เร็นทำหน้ายียวนใส่
“ยุ่ง! ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบหว่านแหไปทั่วแบบนาย”
ชักจะเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา
ทุกครั้งที่เริ่มสนทนากันพวกเขาก็จะจบลงด้วยการทะเลาะทุกที
ใช่..พวกเขามักจะทะเลาะกันเสมอเพราะความเห็นที่ไม่เคยลงรอย
ไม่สิ.. ต้องบอกว่าพวกเขาสามารถทะเลาะกันได้ในทุกเรื่องบนโลก แต่ส่วนมากมักจะเป็นเพราะนิสัยกวนประสาทของจินงูจิ
ซึ่ง..คราวนี้ก็ด้วย
อีกสองคนที่ร่วมโต๊ะเริ่มจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุที่ก่อตัวขึ้น โชและโอโตยะเหล่สายตามองกันคล้ายกำลังปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี
“อ๋า! จริงสิฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมสมุดสำหรับคาบต่อไปล่ะ
มาสะไปเป็นเพื่อนฉันทีสิ” อิทโตกิลุกพรวดขึ้นยืนและรีบดึงแขนเพื่อนร่วมชั้นให้เดินตามตนไป
โดยที่เจ้าตัวยังคงทำหน้างงแต่ก็ยอมเดินตามไปโดยไม่ถามอะไร นับว่าเป็นการตัดบทที่รวดเร็วก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะทะเลาะกันรุนแรงกว่านี้
เร็นหรี่ตามองตามร่างของรูมเมทตนที่เดินจากไป
เขาทำหน้าไม่พอใจเสียเท่าไหร่นักแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะกลับมาทำสีหน้าตามปกติ
“เอ~ วันนี้ไม่ดื่มนมกล่องแล้วหรอโอจิบิจัง”
เมื่อทั้งสองคนพ้นออกจากโรงอาหารไปแล้วเขาก็กลับมาแหย่อีกคนที่ยังคงนั่งอยู่
ผู้ถูกล้อเรื่องส่วนสูงโวยวายกลับในทันใดแต่คนขี้แกล้งยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาแถมยังหัวเราะซ้ำ
แม้จะกำลังส่งเสียงหัวเราะอยู่แต่ในใจนั้นยังคงรู้สึกขุ่นเคืองเรื่องของฮิจิริคาวะ
ไม่ว่าจะพยายามกลบไว้แค่ไหนเรื่องของหมอนั่นก็ยังคงกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลา
ถึงความสัมพันธ์แบบลับๆของพวกเขาจะดำเนินมาได้สักพักแต่ก็ไม่ได้ช่วยซ่อมรอยแตกร้าวระหว่างพวกเขาให้สมานขึ้นแม้แต่น้อย
ยิ่งกายแนบชิดแต่รอยแตกนั่นกลับยิ่งแยกห่างออกจากกัน
พวกเขามักโต้เถียงกันบ่อยและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
บทสนทนาระหว่างพวกเขาหากไม่ใช่บนเตียงหรือทะเลาะกันแล้วก็แทบจะไม่มี
และหากยิ่งเป็นต่อหน้าคนอื่นแล้ว..ไม่เคยจะญาติดีกันสักครั้ง
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้เร็นมักจะหงุดหงิดขึ้นมา
พอได้เห็นท่าทีและการวางตัวของหมอนั่นที่มีต่อเขาในด้านลบแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจ
แต่..
จะให้ฮิจิริคาวะเลิกทำหน้าบึ้งตึงใส่หรือเลิกบ่นเขา
ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้
หรือจะให้หมอนั่นเลิกดื้อดึงเลิกต่อล้อต่อเถียงเลิกหัวรั้น
นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้
....เร็นเริ่มจะคิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดจริงๆก็คือเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากฮิจิริคาวะอยู่กันแน่
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่ากลับดึกน่ะ”
เสียงนั่นดังขึ้นมาทันทีที่เร็นเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง เหมือนจะเป็นคำทักทายของคนร่วมห้องเมื่อเขากลับมา
แต่น้ำเสียงไม่ได้ยินดีที่ได้เจอเสียเท่าไหร่โดยเฉพาะเวลาดึกดื่นป่านนี้
คนถูกบ่นมุ่นคิ้วมุ่ยหน้าหันมองผู้ที่กำลังนั่งหัวโด่จ้องมา
“เรื่องของฉันน่า”
เอ่ยเสียงหน่ายๆและยกแขนขึ้นไพล่ไว้หลังศีรษะ
“ฉันไม่อยากจะตื่นกลางดึกเพราะนายทำเสียงดังตอนกลับมาห้อง”
คนพูดไม่ได้หันมามอง
มือขาวพับเก็บข้าวของบนโต๊ะและลุกขึ้นไปหยิบฟูกนอนมาปูที่พื้น
“งั้นฉันจะไม่กลับห้องทั้งคืนเลยก็แล้วกัน”
จินงูจิประชดกลับขณะเดินไปยังเตียงฝั่งตัวเอง
“ก็เรื่องของนายนี่”
ฮิจิริคาวะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจและล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้พร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดคอ
เร็นเดาะปากอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่กับท่าทีของอีกคน
เขาเหล่จ้องอยู่สักพักแล้วถอนหายใจออกมา
กระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงจะหลับไปแล้วจึงถอดเสื้อตนเองออกแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง
เขานอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า..เมื่อเช้าเขาไม่ได้พับผ้าห่มไว้เรียบร้อยแบบนี้สักหน่อย
ช่างมันเถอะ....
เหยียดแขนไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดตัวก่อนจะข่มตาลงหลับและลืมๆเรื่องเมื่อกี้ไปเสีย
“ไทม์แมชชีน!?”
ชายหนุ่มทั้งหกคนต่างประสานออกมาด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียง
ขณะที่กำลังอึ้งตะลึงกับเครื่องหน้าตาประหลาดตรงหน้า
ผู้อำนวยการแห่งสถาบันซาโอโตเมะก็เริ่มบรรยายถึงการใช้งาน
ระหว่างนั้นผู้ที่ได้ฟังก็ยังคงทำสีหน้าลังเลว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่
แต่คนตรงหน้านี้ก็เคยทำสิ่งที่ควรบันทึกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาแล้ว..
“แบบนี้ก็น่าสนุกจังเลยนะครับ
ถ้าย้อนไปหาตอนพวกเรายังเป็นเด็กๆจะต้องตัวเล็กน่ารักกันมากเลยล่ะครับ~!” ชิโนมิยะ
นัตสึกิชายหนุ่มที่สวมแว่นเอ่ยด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับขยับยิ้มที่ทำเอาคนที่ซึ่งยืนข้างๆเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“จ-จะบ้าเรอะ!
นายไม่ได้ฟังรึไงที่บอกว่าถ้าใช้เจ้าเครื่องนี้ตัวเราจะต้องสลับตัวกับคนในช่วงเวลานั้นแทนน่ะ!
อีกอย่างถ้าย้อนกลับไปแล้วเกิดทำให้ปัจจุบันเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องกันพอดีสิ!”
ชายตัวเล็กโวยวายใส่พร้อมกับดึงแขนเสื้อรั้งคนตัวสูงกว่าไม่ให้เดินเข้าไปใกล้เครื่องย้อนเวลาที่ว่านั่น
ชายหนุ่มผมแดงเอี้ยวตัวไปซ้ายทีขวาทีชะเง้อมองไปรอบๆตัวเครื่องแต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะรู้สึกกลัว
ส่วนรูมเมทหน้าขรึมเพ่งมองอยู่เงียบๆเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่ว่าจะใช้งานได้จริง
“เอ~ ย้อนไปไม่ดีสินะครับ
แล้วถ้าไปอนาคตแทนล่ะครับ!” นัตสึกิยังคงไม่ลดละที่จะให้ความสนใจกับเครื่องตรงหน้า
หนำซ้ำยังเดินเข้าไปใกล้โดยที่ลากพาร่างของโชให้ไถลตามไปด้วย
“เจ้าเครื่องนี่มันดูไม่น่าไว้ใจจะตะ-....เฮ้ย!!!”
จู่ๆเจ้าเครื่องไทม์แมชชีนนั่นก็สั่นขึ้นมาจนชายตัวเล็กต้องร้องเสียงหลง
โชสะดุ้งตกใจกระโดดโหยงจนทำให้มือไปปัดถูกแว่นสายตาของนัตสึกิหลุดออกมาจากหน้า
พลันแววตาที่อ่อนโยนนั้นกลายมาเป็นเย็นยะเยือกกวาดมาจ้องเขม็ง ใบหน้าบึ้งตึงค่อยๆหันมามอง
ร่างนั่นเหมือนกำลังส่งไอของความอันตรายแผ่ออกมา
และดูท่าว่า..จะมีเรื่องที่ทำให้ต้องเป็นห่วงมากกว่าเรื่องไทม์แมชชีนนี่เสียแล้ว...
“ซ...ซัตสึกิ!!”
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นไม่ใช่ชิโนมิยะ
นัตสึกิคนเดิมอีกต่อไปแต่เป็นจิตใจอีกด้านที่ชื่อซัตสึกิชายหนุ่มตัวเล็กก็ก้าวขาถอยหลังออกห่างโดยอัตโนมัติ
ส่วนคนที่เหลือต่างฝ่ายต่างรีบกุลีกุจอหาว่าแว่นนั่นหลุดกระเด็นไปตกที่ไหน
“อะ ฉันเจอแล้วล่ะ!”
ฮิจิริคาวะที่เป็นผู้หาเจอคนแรกหยิบแว่นขึ้นมาจากพื้นและเตรียมจะพุ่งเข้าไปใส่ให้ชิโนมิยะ
แต่แล้ว..
“หึ! ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!!”
ซัตสึกิที่ไหวตัวทันก่อนก้มหลบก่อนที่จะปัดแว่นนั่นทิ้งไปจากฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือคว้าเข้าที่คอเสื้อทันที
“ฮิจิริคาวะ!!”
เสียงตะโกนเรียกดังมาจากจินงูจิที่รีบวิ่งเข้าไปช่วย
แต่ไม่ทันจะเข้าไปถึงตัวชายผู้ที่เต็มไปด้วยรังสีอาฆาตก็ผลักร่างที่จับไว้อยู่ออกจนกระเด็นมาชนทำให้ทั้งคู่กระแทกเข้ากับเครื่องไทม์แมชชีนอย่างแรง
ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังขึ้นมาจากเครื่องอาจเพราะถูกกระแทกเข้าอย่างจังเมื่อครู่
ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งหลบออกมาได้ทันควันสีขาวก็พุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ
เมื่อกลุ่มควันนั้นจางลงก็เริ่มเห็นเงาลางๆของทั้งสองร่าง
ที่อยู่ตรงนั้นยังคงเป็นร่างของจินงูจิและฮิจิริคาวะไม่ผิดแน่
ทว่า....
เสียงไอดังแค่กเนื่องจากสำลักควัน เปลือกตาที่หลับแน่นค่อยๆปรือขึ้นเพ่งนัยต์ตาคู่สีฟ้ามอง
สถานที่เขากำลังยืนอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ที่เดิมอย่างแน่นอน
และมั่นใจว่าไม่เคยมาหรือเคยเห็นมาก่อน
เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่แล้ว.. เขาและฮิจิริคาวะถูกเหวี่ยงมาชนเข้ากับ..
ไทม์แมชชีน?
สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในความนั้นตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้มาอยู่ที่นี่ แล้วถ้ามันใช้ได้จริงๆตอนนี้เขาถูกส่งมาในอดีต..หรือว่าอนาคต?
“จินงูจิ..?”
เสียงที่เรียกนั้นลากยาวคล้ายว่าไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าใช้เจ้าของชื่อหรือไม่
เขาหันไปตามเสียงเรียกนั่นก่อนจะพบกับคนคุ้นหน้า
“ฮิจิริคาวะ?”
เร็นเรียกชื่อของผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
จากรูปร่าง ใบหน้า และชุดที่กำลังสวมนั่นยังคงเป็นฮิจิริคาวะในช่วงเวลาของเขา สีหน้าของหมอนั่นดูเครียดกว่าทุกครั้ง
มือขาวที่ถือหนังสือเล่มบางอยู่นั้นยื่นส่งมาทางเขา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตะลึงเมื่อเห็นภาพที่อยู่บนปก
เป็นตัวเขาไม่ผิดแน่
แต่ว่าเขาไม่เคยรับงานถ่ายแบบขึ้นปก..และเขายังไม่ได้เดบิวต์เสียด้วยซ้ำ
“อย่าเพิ่งสนใจรูปสิ
ดูเดือนกับปีบนนิตยสารซะ” ฮิจิริคาวะเอ่ยติงเพราะเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มผมน้ำตาลทองโฟกัสอยู่ที่รูป
และนั่นทำให้เขาต้องประหลาดใจกว่าเก่า..เพราะปีที่พิมพ์อยู่บนนิตยสารเล่มนั้นมันคืออีกสิบปีถัดจากนี้
ไม่สิถัดจากช่วงเวลาที่พวกเขาจากมา
หมายความว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนถูกส่งมายังอนาคตในอีกสิบปีข้างหน้าอย่างนั้นสินะ
“พวกเรา..กำลังอยู่ในโลกอนาคตจริงๆหรอ”
น้ำเสียงนั่นเกือบจะฟังดูปกติแต่เร็นสัมผัสได้ถึงความสั่นกลัวที่ซ่อนอยู่
ฮิจิริคาวะกลับเดินไปวางนิตยสารไว้บนโต๊ะดังเดิมก่อนจะเดินไปรอบๆห้อง
เร็นที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มเดินสำรวจบ้าง
มือหนาเอื้อมหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะขึ้นมา
เขาพบว่าที่ก้นแก้วยังคงมีคราบของกาแฟแห้งติดอยู่
ดูแล้วน่าจะเพิ่งถูกทิ้งไว้ไม่นาน พื้นโต๊ะเองก็เป็นรอยก้นแก้วอยู่หลายจุด
ที่ๆพวกเขาอยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นคอนโดและน่าจะมีคนอยู่อาศัยมานานแล้ว
ระหว่างที่จะเดินไปสำรวจที่ห้องอื่นต่อจินงูจิก็รู้สึกเหมือนเขาลืมนึกถึงเรื่องบางอย่างไป..
และนั่นน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญเสียด้วย
ชายหนุ่มเดินสวนกับฮิจิริคาวะที่หน้าโซฟาพอดี สายตาของทั้งคู่สบกันแต่ก็เพียงครู่เดียวก่อนที่ต่างฝ่ายต่างหลบสายตาไป
“เราจะกลับไปได้หรือเปล่านะ”
หมอนั่นบ่นพึมพำออกมา
เร็นรู้สึกได้ถึงความกังวลในน้ำเสียงนั่น
“ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ก็แปลว่าร่างในอนาคตของพวกเราก็ต้องถูกสลับไปอยู่แทนที่ในอดีตแทนนี่นา
ยังไงซะทางนั้นก็น่าจะ...” เร็นหยุดชะงักเมื่อทวนถึงประโยคที่ตนเองพูดออกไป..
เหมือนว่าเรื่องบางอย่างที่เขาลืมนึกไปนั้นตอนนี้เขานึกมันออกแล้ว
“จินงูจิ?”
ฮิจิริคาวะที่เห็นว่าอยู่ๆอีกฝ่ายเงียบไปเลยเอ่ยทัก
“ก็น่าจะหาทางพาพวกเรากลับไปได้..นั่นแหละ”
เขาพูดต่อด้วยเสียงค่อย
เร็นเหลือบมองหน้าของรูมเมทตนก่อนจะเดินห่างออกมา
ให้ตายสิ..ทำไมถึงเพิ่งจะนึกออกกันนะ
แต่เหมือนว่าหมอนั่นจะยังไม่เอะใจสินะ
เร็นเดาะปากอย่างไม่พอใจเสียเท่าไหร่
ขายาวก้าวเร็วๆตรงไปยังบานประตูของห้องนอน
เขาเม้มปากแน่นขณะจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูแต่แล้วก็ยกมือค้างนิ่งไว้แบบนั้น
ถ้าใช้ไทม์แมชชีนร่างในปัจจุบันจะสลับกับร่างในช่วงเวลานั้น
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว..
การที่ทั้งเขาและฮิจิริคาวะมาโผล่ในที่เดียวกันแบบนี้มันก็มีคำอธิบายได้เพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น..
มือผิวสีแทนนั่นค่อยๆจับลงบนลูกบิดแล้วค่อยๆหมุนก่อนจะออกแรงผลักเข้าไปด้านใน
ที่เขารู้สึกลำบากใจที่จะก้าวขาเข้าไปอยู่เล็กน้อย
แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวจ
เดินไปได้สองสามก้าวเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเหยียบอะไรเข้า
เมื่อก้มมองก็พบว่ามันคือสายโอบิสีดำที่กองอยู่บนพื้น
แน่ล่ะเขาไม่ใส่ยูคาตะเพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่ของเขา
เตียงนอนขนาดใหญ่ปูตึงด้วยผ้าปูสีขาว
ผ้าห่มผืนใหญ่ก็ถูกพับอย่างเรียบร้อย หมอนทุกใบก็จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ สไตล์การตกแต่งห้องส่วนใหญ่เป็นในแบบที่เขาชอบ
ไม่ใช่แค่ในห้องนอนแต่ข้างนอกตอนที่มองดูเขาก็รู้สึกว่าน่าอยู่ดี
เขาคงจะเป็นคนออกแบบเองสินะ
ในตอนที่กวาดสายตาไปทั่วนั่นเองเขาก็สะดุดกับขวดโลชั่นบนโต๊ะข้างหัวเตียง
อา..
เมื่อจะพยายามเบนสายตาไปมองอย่างอื่นแทนก็ต้องชะงักยิ่งกว่าเก่า
เร็นยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่พักใหญ่ขณะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในของ.. ถังขยะ
นั่นมัน..
ความร้อนผ่าวสุมขึ้นมาบนใบหน้าทันที ชายหนุ่มรีบยกฝ่ามือขึ้นกุมหน้าของตนที่กำลังแดงแจ๋
เขากับฮิจิริคาวะ..อยู่ด้วยกันที่นี่?
มันจะเป็นไปได้จริงๆอย่างนั้นหรอ.. ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยมีสัมพันธ์ทางกายกัน
กระนั้นแล้วสถานะของพวกเขาก็ไม่ใช่คนรักอยู่ดี แค่จะคุยดีๆยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้
“ข้างในนั้นมีอะไรรึเปล่าจินงูจิ”
เป็นเสียงของฮิจิริคาวะที่ตะโกนถามมาจากข้างนอกห้อง
และเหมือนว่ากำลังเดินมาทางนี้เสียด้วย
“ม..ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก”
เขารีบตอบกลับไปทันควันก่อนจะก้าวยาวๆออกมายืนดักไว้ที่หน้าประตู
เร็นพยายามทำสีหน้าปกติแม้จะดูลุกลิกจนน่าสงสัยอยู่บ้างแต่โชคดีที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้ถามอะไร
“เท่าที่ฉันเดินดูที่นี่น่าจะเป็นห้องของนายนะ”
ฮิจิริคาวะกล่าวพร้อมกับพยักหน้าเองเหมือนกำลังยืนยันว่าความคิดของตนนั้นน่าจะถูกต้อง
“อ่า..งั้นหรอ”
เร็นไม่ได้เอ่ยขัดอะไร
“ก็เพราะตอนเปิดตูเย็นดูมีแต่ขวดซอสทาบาสโก้นั่นแหละ
คนที่มีรสนิยมการกินประหลาดแบบนายคงมีไม่เยอะนักหรอก” ไม่วายจะเอ่ยกระแซะใส่
เขาไม่ได้เถียงกลับเหมือนทุกครั้ง ฮิจิริคาวะยังคงไม่เอะใจเรื่องที่พวกเขาทั้งคู่ถูกส่งมาอยู่ในที่เดียวกัน
อาจจะเพราะหมอนี่เป็นพวกที่เรียกได้ว่าซื่อจนบื๊อ
และแล้วพวกเขาก็มานั่งอยู่บนโซฟากลางห้อง
ต่างฝ่ายต่างเงียบเพราะไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
ทั้งสองได้แต่แอบเหล่มองกันไปมา ความอึดอัดเริ่มจะมากขึ้นทุกทีจนกระทั่งมีผู้ที่ทนไม่ไหว
“นายมีอะไรที่ไม่ได้บอกฉันรึเปล่าจินงูจิ?”
อันที่จริงแล้วฮิจิริคาวะพอจะสังเกตอาการแปลกๆของเร็นได้ตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนแล้ว
เพราะรู้จักกันมานานทำให้มองออกว่าอีกฝ่ายนั้นมีเรื่องบางอย่างที่กำลังปิดบังอยู่
เร็นเอนพิงกับพนักของโซฟาเหยียดแขนทั้งสองวางไว้ก่อนจะถอนหายใจยาว
เขาหันหน้ามาจ้องฮิจิริคาวะอยู่ครู่หนึ่ง ลังเลว่าควรจะบอกดีหรือไม่
“ฉันคิดว่า..ฉันไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้คนเดียวหรอกนะ”
เขาพึมพำออกมาแล้วเหล่มองไปยังคนข้างๆ
สีหน้าของฮิจิริคาวะเหมือนจะบึ้งลงก่อนจะเบนหลบไปทางอื่น
“ไม่แปลกหรอกมั้ง
ถึงตอนนั้นนายก็คงเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว” ประโยคนั้นเหมือนไม่ได้เอ่ยพูดกับเจ้าตัว
แต่กำลังบ่นให้ตัวเองฟังอยู่เสียมากกว่า ฮิจิริคาวะพอจะเดาได้หลังจากที่เดินสำรวจจนทั่วห้อง
ของใช้บางอย่างหากอาศัยอยู่เพียงลำพังแค่ชิ้นเดียวก็พอแต่ที่คอนโดนี้มีเป็นคู่
เร็นที่ได้ยินมุ่นคิ้วเล็กน้อยพอจะจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเข้าใจผิดไปกันใหญ่ และนั่นก็ทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดในแบบที่เขามักจะมีต่อฮิจิริคาวะกลับมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่กับพวกเลดี้หรอกนะ”
เร็นบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะของตน
ความรู้สึกในตอนนี้ของเขาปนมั่วไปหมดทั้งหงุดหงิดทั้งสับสนทั้งประหม่า
คำพูดที่ออกมานั้นทำให้ฮิจิริคาวะต้องขมวดคิ้วแล้วหันกลับมาทำหน้างงใส่เขา
พอได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคนที่เข้าใจอะไรยากอย่างนี้แล้วก็ทำให้ต้องหลุดขำออกมา
“นายนี่มันซื่อบื๊อจริงๆนั่นแหละนะ”
เร็นเอ่ยลอยๆออกมาแล้วขยับยิ้มที่มุมปาก
“นายชอบพูดอะไรให้เข้าใจยากเองต่างหากล่ะ”
คนถูกว่าสวนพร้อมมุ่ยหน้า
“นายทึ่มเองต่างหากล่ะ
ไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมเลยสักนิด” เร็นเถียงกลับอย่างลืมตัว
“นี่นายว่าฉันอีกแล้วนะ!”
ฮิจิริคาวะเริ่มขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโหที่ว่าซ้ำถึงสองครั้ง
เร็นชะงักปากไว้ได้ทันก่อนที่จะเริ่มสงครามทางวาจากันอีกรอบ
ไม่ทันไรพวกเราก็เถียงกันอีกแล้ว
เมื่อนึกแล้วชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยิ้มขำ
แน่ล่ะว่านั่นทำให้อีกคนต้องทำหน้างงหนักยิ่งกว่าเดิม
“อะไรของนาย..”
ตอนพูดก็ชอบอ้อมไปเรื่อยยังจะทำตัวให้เข้าใจยากอีก
ฮิจิริคาวะพึมพำแล้วนึกบ่นอยู่ในใจ
เร็นเหลือบมองคนข้างๆ ฮิจิริคาวะสบตากลับแล้วหงิกหน้าใส่
“อาจจะเพราะแบบนี้แหละนะ”
เขาเอ่ยด้วยเสียงที่เบาพอให้ตัวเองได้แค่ยินคนเดียว
เขาคิดว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจถึงเหตุผลแล้ว
“จ-จินงูจิทำไมตัวนายถึงจางลงล่ะ!?”ฮิจิริคาวะส่งเสียงด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าร่างของอีกคนโปร่งใสจนมองทะลุผ่านได้
คนที่ถูกทักแบบนั้นเมื่อหันมาก็ต้องตกใจเช่นกันเพราะร่างตรงหน้าก็กำลังเลือนลงเหมือนกับตัวเอง
เร็นเอื้อมมือไปคว้าแขนของฮิจิริคาวะไว้ พวกเขายังสัมผัสตัวกันได้อยู่
ไม่ทันจะได้นึกหาคำตอบก็เกิดกลุ่มควันสีขาวปกคลุมทั่วไปทั้งห้องจนมองไม่เห็นแบบเดียวกันกับในตอนที่พวกเขามา
เร็นรีบคว้าร่างของฮิจิริคาวะไว้ สองแขนโอบแผ่นหลังของอีกฝ่ายแน่นราวกับกลัวว่าหากปล่อยออกแล้วจะหลุดหายไป
คู่อเมทิสต์เบิกกว้างด้วยความตกใจแต่ไม่ได้ผลักออก มือขาวค่อยๆเลื่อนมากำที่แขนเสื้อพร้อมกับซบใบหน้าลงที่ข้างศีรษะ
จนกระทั่งกลุ่มควันจางลงร่างของทั้งสองจึงผละกอดออกจากกัน เมื่อหันมองรอบๆก็พบว่าที่นี่ช่างคุ้นตา
ไม่ใช่ที่ไหนแต่คือห้องเดิมที่เก็บเครื่องไทม์แมชชีนนั่น
“อะ
เร็นกับมาสะกลับมาแล้วล่ะ!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้วยความดีใจ
อิกกิรีบถลาพุ่งเข้ามากอดพวกเขาทั้งสองคนก่อนจะหลุดร้องไห้ออกมาเพราะทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว
ส่วนคนอื่นๆเองก็ดีใจไม่ต่างกันที่ได้เห็นหน้าพวกเขา
เขาและฮิจิริคาวะกลับยิ้มก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“กลับมาแล้ว”
พวกเขากลับมาโลกปัจจุบันแล้ว
หลังจากนั้นทุกคนก็รุมถามพวกเขากันเกี่ยวกับเรื่องโลกในอนาคตจนแถบจะตอบไม่ทัน
เขาเองก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะส่วนใหญ่เขาใช้เวลาไปกับการเดินสำรวจห้อง
แน่นอนว่าบางเรื่องเขาเองก็เลือกที่จะไม่พูด
ถึงอย่างนั้นเร็นก็รู้สึกได้ว่าสายตาของเพื่อนๆที่จ้องมาที่พวกเขาทั้งสองนั้นดูเปลี่ยนไป
ซึ่งเขาก็อธิบายไม่ได้ว่าสายตานั้นสื่อถึงอะไรแต่ก็ไม่ใช่ในทางที่แย่ลง
กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เหมือนกัน ฮิจิริคาวะถอนหายใจออกมาระหว่างที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินรวม
หมอนั่นเดินเลี้ยวไปทางหอพักส่วนเขาตรงไปทางสวน
อยู่ๆชายหนุ่มผมสีเข้มก็หยุดชะงักกลางทางแล้วหันมาหาเขา
“ย..อย่ากลับดึกเกินสี่ทุ่มล่ะ”
ฮิจิริคาวะบอกกับเขาก่อนจะเดินกลับไปยังหอพัก
เร็นไม่ได้พูดรับปากเพราะเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตามเสียหน่อย..
เขาจะกลับเวลาไหนก็เรื่องของเขา..ยังไงซะหมอนั่นก็..
อ่า..
ให้ตายสิ..
เขาส่ายศีรษะไปมาเพื่อไล่ความคิดที่กำลังกวนใจอยู่ในตอนนี้
เสียงบานประตูถูกแง้มออกเรียกความสนใจจากคนที่นั่งคัดพู่กันให้หันมามอง
เมื่อใบหน้าของผู้มาเยือนโผล่เข้ามานั้นต้องทำให้คนที่นั่งอยู่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“จินงูจิ?
ทำไม..ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” เพราะแปลกใจถึงถามออกไปเช่นนั้น
“นายจะเอายังไงกันแน่
พอฉันกลับดึกก็บ่น พอกลับมาเร็วก็ว่า” เร็นพูดกลับไปแบบหยอกๆไม่ได้ตั้งใจจะประชด
แต่เหมือนคนทึ่มจะไม่เข้าใจ
“ฉันไม่ได้ว่าซักหน่อย
แค่แปลกใจเฉยๆ” ฮิจิริคาวะรีบแก้ตัวแล้วเขยิบตัวหันมาทางเขา
เร็นเลิกคิ้วแล้วเดินตรงไปยังอีกซีกห้องที่เป็นฝั่งของฮิจิริคาวะ
เขาทิ้งตัวลงนั่งเอี้ยวคอมองดวงตาคู่ที่ฉายแววเคร่งขรึมตลอดเวลานั่นกลับ
“อะไรอีกล่ะ?”
คนหน้ามุ่ยขมวดคิ้วแล้วจ้องมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจเพราะวันนี้จินงูจิทำตัวแปลกกว่าปกติ
เร็นไหวไหล่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรเคลื่อนร่างเข้าไปนั่งชิดแล้วเอนพิงอยู่เงียบๆ
ฮิจิริคาวะไม่ได้ว่าอะไรและหันตัวหลับไปนั่งคัดพู่กันต่อตามเดิม
ในตอนแรกเขาคิดว่ารอยร้าวระหว่างพวกเขาทั้งสองยิ่งแยกห่างออกจากกันเรื่อยๆ..แต่นั่นก็ไม่จริง
“จินงูจิ..ปล่อยได้แล้ว”
ฮิจิริคาวะเอ่ยบอกขณะพยายามแกะมือที่ขยุกขยิกไปตามลำตัวของตน
ฝ่ามือใหญ่ยอมผละออกอย่างว่าง่ายแล้วเลื่อนไปกุมไว้ที่มือขาวทั้งสองแทน
“ฉันหมายถึงให้เลิกกอดได้แล้ว
ฉันจะไปนอน” ว่าแล้วก็เอียงคอให้ชนเบาๆกับศีรษะของผู้ที่เอาคางมาเกยบ่า
ทว่าไม่มีวี่แววที่เร็นจะยอมผละตัวออกไปเลย ซ้ำยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก
“แต่ฉันยังไม่ง่วงนี่”
ถ้อยคำเอาแต่ใจถูกเอ่ยออกมาจากปากคนน่าหมั่นไส้
ใบหน้าซุกลงที่ลำคอพลางคลอเคลียชวนให้คนด้านหน้ารู้สึกจั๊กจี้
“นายนี่มัน...”
เจ้าของใบหูที่เริ่มแดงหมดคำจะใช้ด่าคนลามก
ฮิจิริคาวะเอนหลังพิงกับอีกคนและล้มเลิกความคิดที่จะต่อล้อต่อเถียงเพราะถึงยังไงก็ไม่เคยที่จะชนะสักที
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่แต่สัมผัสของจินงูจิ..อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง
แค่คิดขึ้นมาก็ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
“นี่..ฮิจิริคาวะ”
เอ่ยกระซิบเรียกด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“อะไร..”
ขานตอบรับแล้วรอฟัง
“ขอบคุณนะ..”
เร็นพูดออกมาโดยที่ตั้งใจจะหมายความแบบนั้นจริงๆ
ริมฝีปากแนบลงที่ใบหูแดงๆจนทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง
ฮิจิริคาวะเบ้ปากเล็กน้อยแล้วหันจ้อง เพราะจู่ๆจินงูจิก็พูดอะไรที่ตนไม่เข้าใจออกมาอีกแล้ว
คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก
“ที่อยู่ข้างๆมาตลอด”
แววตาของเร็นตอนที่เอ่ยประโยคนั่นออกมาฉายถึงความจริงจัง
นัยน์ตาของพวกเขาสบกันต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกะพริบ
ฮิจิริคาวะคลี่ยิ้มบางออกมาพร้อมยกมือขึ้นลูบบนเส้นผมสีน้ำตาลทองนั่น
ข้อมือถูกคว้าไว้ขณะที่ร่างถูกดันลงไปนอนราบบนเสื่อ ร่างของจินงูจิเคลื่อนมาคร่อมอยู่เหนือตัว
แม้จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน หรือโต้เถียงกันแทบทุกวัน
แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังคงอยู่ด้วยกัน
แม้จะชอบว่าเรื่องกลับดึก แต่ฮิจิริคาวะก็ยังคงนั่งรอทุกวัน
แม้จะต้องคอยบ่นคำเดิมซ้ำๆ แต่ฮิจิริคาวะก็จะมาช่วยทุกครั้ง
และแม้ว่าเขาจะเคยทำนิสัยแย่..หรือทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายอยู่หลายหน..
ฮิจิริคาวะก็ไม่เคยที่จะไปไหน
ในตอนนี้เขารู้แล้วทั้งเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงได้อยู่ด้วยกัน..ทั้งสิ่งที่เขาต้องการจากอีกฝ่ายมาโดยตลอด
นิ้วยาวแทรกไว้ระหว่างนิ้วเรียวเพื่อประสานเข้าด้วยกัน
เร็นกุมมือนั้นไว้แน่น..
แน่นพอที่จะแน่ใจว่าจะไม่หลุดออกจากกันอีก..เป็นครั้งที่สอง
-END-