Fan-fiction Utapri
Title : ♥Kill game♠
Pairing(?) : Ren x Masato x Camus
Warning : 3P!! , AU, อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจอะไรทั้งสิ้น
Rate : 15+
Rate : 15+
Note : ย้ำอีกครั้งแฟนฟิคนี้อิงธีมจาก Joker trap , ยังไม่ถึงปีซะหน่อยน่า...
Ch.4
ฮิจิริคาวะมองภาพร่างทั้งสองที่นอนคร่อมกันอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่สับสนปนกันไปหมด
เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
แล้วการกระทำเมื่อครู่ของทั้งคู่ที่เขาเห็นนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
นัยน์ตาสีอเมทิสต์กะพริบมองอยู่หลายวินาทีก่อนจะหลบตาไปและทำท่าจะก้าวเดินหลบไปทางอื่น
รอยยิ้มแฝงเลศนัยถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษที่มีแววตาเจ้าเล่ห์เมื่อฮิจิริคาวะหมุนตัวหันหลังให้แล้วตรงกลับไปที่ห้อง
“จริงสิบารอน
รู้รึเปล่าว่าฮิจิริคาวะน่ะนะ..” ระดับเสียงของจินงูจิจงใจเอ่ยให้ดังมากพอที่จะไปถึงโสตประสาทของผู้ที่อยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้ผู้ที่มีชื่ออยู่ในประโยคสนทนาต้องรีบหันกลับมามองดั่งที่คาด
เขาปรายตามองไปที่จินงูจิที่กำลังขยับยิ้มมาหา เพียงเท่านั้นความกระสับกระส่ายก็ก่อตัวขึ้นมาคล้ายคนมีความผิดที่กลัวจะถูกเปิดโปง
หมอนั่น..คงไม่คิดที่จะพูดเรื่องนั้น..ใช่หรือเปล่า
“ก่อนหน้านี้วันที่บารอนไม่อยู่..-”
ประโยคขึ้นต้นน่าจะกระตุกความหวาดกลัวในเรื่องที่เจ้าตัวต้องการปกปิดได้เป็นอย่างดี
“จินงูจิ!!” เขาเผลอขึ้นเสียงเพื่อแทรกไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ
กว่าจะรู้ตัวตนเองก็กลายเป็นจุดสนใจจากสายตาทั้งสองคู่ที่โซฟานั่นเสียแล้ว
“นาย..ทำเสียงดังจนฉันตื่น
ไร้มารยาท..” นับว่าเป็นการเบี่ยงประเด็นได้แย่สุด ๆ
และทำให้เรื่องแย่ยิ่งกว่าเก่าเพราะฝ่ายที่ถูกโบ้ยความผิดนั่นลุกเดินมาทางเขา
“เห..นั่นสินะฉันผิดเองแหละ~”
น้ำเสียงยียวนนั่นทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ชอบมาพากล จินงูจิวาดยิ้มมุมปากแล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงค่อย
“คิดว่าฉันจะพูดเรื่องนั้นหรอ
ไม่ต้องห่วงหรอก..มันเป็น’ความลับระหว่างเรา’นี่นา” ฝ่ามือช้อนไว้ที่หลังศีรษะก่อนจะออกแรงกดให้ก้มลงเล็กน้อยจนหน้าผากซบกับไหล่กว้าง
ใจจริงอยากจะผลักออกไปให้อยู่ห่างตัว
แต่ก็กลัวว่าอีกคนนั้นจะเปลี่ยนใจเรื่อง ‘ความลับ’ ที่ว่านั่น
เขาจึงได้แต่บึ้งหน้าแสดงความไม่พอใจแล้วใช้มือดันให้ใบหน้าตนเองผละออกมา
“จะใช้เป็นข้อต่อรองกับฉันล่ะสิ?”
เขาพูดด้วยเสียงเบาเพื่อไม่ให้คุณคามิวได้ยิน
“ฉันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
เพราะลักษณะเนื้อเสียงที่เจ้าตัวใช้เป็นปกติค่อนข้างจะตีความได้ยากอยู่แล้วจึงจับไม่ได้ว่ากำลังพูดจริงหรือหลอกลวง
แม้ว่าจะจินงูจิจะดูไม่มีความน่าเชื่อถือเลยก็ตาม แต่เขาก็พยายามที่จะ
‘หวัง’ ว่าเจ้าตัวจะรักษาคำพูด
“เจ้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน
? ” เนื่องจากถูกมองข้ามมานานชายหนุ่มผมบลอนซ์จึงจำเป็นจะต้องเอ่ยขัดจังหวะให้รับรู้การมีตัวตนของตน
ฮิจิริคาวะเขยิบตัวมายืนห่าง ๆ
จินงูจิพลางก้มหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรออกไปแทนเรื่องเมื่อครู่ดี
เขาได้แต่ส่งสายตาไปให้คนข้าง ๆ ที่น่าจะสามารถนึกเรื่องกลบเกลื่อนได้ดี
“ฉันแค่จะบอกว่าเมื่อวานฮิจิริคาวะทำอาหารให้ด้วยล่ะ
ฝีมือก็ใช้ได้เลยนะ~” เจ้าตัวก็พูดได้ลื่นไหลไม่สะดุดใด ๆ
ตามที่คิดไว้จริง ๆ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคิดได้ว่าหรืออันที่จริงแล้วหมอนี่ตั้งใจจะแกล้งเขาให้ร้อนตัวตั้งแต่ทีแรก
คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกหน้าเสียขึ้นมาทันทีที่เผลอโผล่งออกไปแบบนั้น
“หึ..เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว”
ถึงจุดประสงค์จะเป็นการประกาศว่ารู้ข้อมูลในส่วนนั้นดีอยู่แล้วไม่ต้องบอกให้ทราบอีกก็ตาม
แต่กระนั้นก็ทำให้ย้อนนึกไปถึงช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้
ตอนที่ได้ลิ้มรสฝีมือการทำขนมหรืออาหารที่คนตรงหน้ามักจะนำมาฝากอยู่เสมอ คามิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปชั่ววูบก่อนจะกลับมาตีหน้าถมึงทึงตามเดิม
โดยที่อาจจะไม่รู้เลยว่าฮิจิริคาวะเองก็กำลังย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนแววตาที่สลดลง
แต่เหมือนว่าจะมีอีกคนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่ง่วงแล้วงั้นหรอฮิจิริคาวะ
? ถ้าอย่างนั้นให้ฉันพากลับไปนอนดีมั้ย” จินงูจิเอ่ยหยอกคนข้าง
ๆ เพื่อทำลายความเงียบเชียบเมื่อครู่
เขาไม่ได้เงยมองหน้าอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ากำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเช่นไร
และเขาก็ไม่อยากจะเห็นเช่นกัน อันที่จริงไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าของทั้งสองคนอีกแล้ว
อยากจะไปให้พ้น ๆ จากที่นี่ตอนนี้ได้ยิ่งดี
“เมื่อไหร่พวกนายจะปล่อยฉันไปซะที”
เขากำหมัดไว้แน่นขณะพูดถาม แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ
จินงูจิถอนหายใจยาวคล้ายเบื่อหน่ายกับคำถามที่มักถามอยู่ซ้ำ ๆ นั่น
“ฉันก็บอกนายไปแล้ว..”
“ฉันก็บอกไปแล้วเหมือนกันว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!!”
ฮิจิริคาวะตะคอกใส่อย่างเหลืออดก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเข้าไปในห้องให้ไวที่สุดที่จะทำได้
เขากระแทกปิดบานประตูเสียงดังจนกำแพงรอบข้างสั่นไปด้วย
นี่มันบ้าชัด ๆ ทำไมเขาจะต้องมาทนกับเรื่องงี่เง่านี่ด้วย
เป็นอีกคืนที่ไม่ได้ต่างจากคืนอื่น
ๆ เลย เขาไม่สามารถข่มตาลงหลับได้อย่างสนิท เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้นอนพักเลย
ใครจะไปหลับลงทั้งที่มีเรื่องมากมายก่อกวนจิตใจแบบนี้กัน แต่ก็ยังดีกว่ามีคนมาเฝ้าในห้อง
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจยามที่มองเห็นสิ่งที่ถูกวางไว้ที่ปลายเตียง
ยูคาตะสีพื้นกรมท่าและชั้นในถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย อันที่จริงถ้าไม่นับเสื้อคลุมที่ได้มาจากคุณคามิวเขาตัวเองก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นใดเลยที่จะใช้ปกปิดร่างกาย
อย่างน้อยสองคนนั้นก็ยังมีความเห็นใจอยู่บ้างที่หาชุดมาให้เขาใส่
ฮิจิริคาวะถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งออกแล้วลงไปยืนที่พื้นเพื่อหยิบชุดขึ้นมาสวม
สายโอบิถูกผูกไว้เป็นปมที่ข้างหลังด้วยความคล่องแคล่ว
แต่ก็ชวนน่าประหลาดใจอยู่บ้างที่เป็นยูคาตะที่เขามักจะสวมเวลาอยู่บ้าน
ทำไมถึงไม่เอาเสื้อทั่วไปมาให้เขากันล่ะ ..ถึงจะติดใจไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี
จะว่าไปแล้ว..จะยังอยู่ทั้งสองคนเลยหรือเปล่านะ ถึงไม่อยากจะออกไปเจอหน้าแต่ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้วเลย
ไหนจะที่นอนร้องจนคอแห้งอีก
สุดท้ายก็ต้องจำใจออกไป ขณะหมุนลูกบิดประตูเขาได้แต่ภาวนาว่ากลับไปแล้วสักคนก็ยังดี
เมื่อแง้มบานประตูแล้วชะเง้อออกไปก็ต้องผิดหวังตามคาด
เงาของร่างสูงสองคนยืนอยู่ไม่ห่างมากขึ้นจากห้องนอน
แต่เหมือนทั้งคู่จะไม่ได้สังเกตว่าเขาออกมาจากห้องเพราะกำลังยืนคุยบางอย่างที่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญกันอยู่
และนั่นก็ทำให้เขาอยากที่จะได้ยิน..เพราะอาจจะเกี่ยวกับเขาก็ได้
ฮิจิริคาวะค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปให้อยู่ในระยะที่จะได้ยินเสียงแล้วอาศัยหลบที่หัวมุมกำแพงเพื่อแอบฟัง
ทั้งคู่ไม่ได้ใช้เสียงที่ดังมากแต่ก็ไม่ถึงขั้นกระซิบกระซาบจนไม่ได้ยิน
“แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเองน่า..
เห็นบารอนสนใจจน.....”
“ไร้สาระ..
ข้าเพียง........เพื่อภารกิจ......ไม่พลาด”
เขาได้ยินเพียงบทสนทนาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
“...ข้อมูลใหม่ที่ข้า........
เจ้านั่นอาจจะ...... ก็ได้...”
“เห...
ถือว่าน่าสนใจเลยนะ”
นัยน์ตาคู่อเมทิสต์เบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยินแม้จะไม่ครบแต่ก็ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องของเขาอย่างแน่นอน
ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งอยากจะได้ยินทั้งหมด
ฮิจิริคาวะพยายามเขยิบตัวแล้วชะเง้อศีรษะไปให้ใกล้มากขึ้น
“น่าสนใจจนเจ้าตัวต้องตื่นมาแอบฟังเองเลยล่ะ”
ฮิจิริคาวะตัวแข็งทื่อในทันทีเมื่อโดนจับได้ เขาค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองหน้าทั้งสองคนที่หันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว
สีหน้าของทั้งคู่เขาเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จินงูจิยังคงยิ้มทำหน้ากะล่อนตามปกติ
ส่วนคามิวมีสีหน้าบึ้งตึงดั่งเช่นทุกครั้ง
ลำคอที่แห้งผากอยู่แล้วพยายามกลืนน้ำลายเหนียวลงไป
คนสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจก้าวเท้าเดินสาวเข้าไปหาด้วยตัวเองแทนที่จะหนี
“กำลังพูดถึงฉันกันอยู่ใช่หรือเปล่า”
ฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งแล้วช้อนมองด้วยสายตาจริงจัง
“หากใช่แล้วเจ้าจะทำไมรึ
? ” คามิวเปรยตามองแล้วตั้งคำถามกลับ
แม้ว่าสายตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความกดดันแต่ก็ไม่ทำให้เขาถอยได้หรอก
“ผมก็ต้องการที่จะรู้น่ะสิครับ”
เขาจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วถ้าข้าเลือกที่จะไม่บอกเล่า
? ” อความารีนจิกลงจ้องอย่างเชอดเฉือน
ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบเป็นปมพลางเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงไม่กี่คืบ
บรรยากาศอึมครึมเริ่มเข้าปกคลุมจนห้อง
ฮิจิริคาวะจ้องสายตาเย็นชาคู่นั้นอย่างไม่วางตา
“ไม่เอาน่าบารอน~
เลิกแกล้งหมอนี่ซะทีเถอะ” จินงูจิเอ่ยพลางเดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งคู่เพื่อทะลายความอึดอัดที่กำลังก่อตัวขึ้น
ชายหน้าทะเล้นยกแขนขึ้นคล้องไว้บนไหล่ของคนหน้าทะมึนแล้วดึงพาตัวให้ถอยออกห่างจากชายผมสั้น
คามิวส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดทำสงครามประสาทกับฮิจิริคาวะ
เร็นเหล่มองผู้ที่ยืนกำหมัดจนมือสั่นพลางถอนหายใจ
“นายท่าจะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน
ฉันทำมื้อเช้าเผื่อไว้อยู่บนโต๊ะน่ะถือว่าตอบแทนคราวก่อน” ที่จริงแล้วก็กะจะไปเรียกที่ห้องนอนหลังจากที่คุยธุระกันเสร็จแต่ว่าเจ้าตัวดันตื่นก่อนเสียได้
“ถ้านายอยากจะตอบแทนอะไรฉันก็ปล่อยฉันไปซะสิ
ฉันจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเรื่องบ้า ๆ แบบนี้!” เขาหันไปตวาดใส่เสียงกร้าวด้วยความเหลืออด
ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง
“อยู่ ๆ ก็มาทำดีด้วย
คิดว่านั่นจะทำให้ฉันลืมเรื่องเลวทรามก่อนหน้านี้ได้งั้นหรอ!!” ฮิจิริคาวะถลาตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อของชายผมทองพลางกัดฟันกรอดจ้องเขม็งอย่างโกรธแค้น
เร็นคว้าที่ข้อมือขาวก่อนจะออกแรงบีบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนที่กำลังเดือดดาลต้องยอมปล่อยมือออก
นัยน์ตาสีฟ้าสว่างที่จ้องมานั้นไร้แววทะเล้นแบบที่เคยเป็น ชายหนุ่มส่ายศีรษะช้า ๆ
ก่อนจะจับล็อคตัวของเขาไว้แล้วดันให้เดินตรงไปทางโต๊ะกลมซึ่งมีจานอาหารเช้าวางไว้พร้อม
เขาถูกขืนบังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ
ฮิจิริคาวะบึ้งหน้าปรายตามองขนมปังกรอบและเส้นพาสต้าซอสมะเขือเทศในจาน
เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทำของแบบนี้ในตู้และก็ไม่คิดว่าด้วยว่าอีกฝ่ายจะทำอาหารเป็น
“น่ากินใช่รึเปล่าล่ะ~”
น้ำเสียงยียวนกลับมาอีกครั้ง เร็นขยับยิ้มบีบบ่าทั้งสองข้างแล้วเลื่อนมือลงมาที่แขนก่อนจะจับให้เลื่อนไปจับช้อนส้อม
“นายคิดว่าฉันจะกินลงรึไง
? ” ไม่ได้ประชดประชันแต่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากจะกลืนอะไรลงท้อง
ทั้งขยาดทั้งแสบคอ ยิ่งถูกสองคนนี้ยืนจ้องด้วยแล้วยิ่งไม่มีอารมณ์อยากจะตักอะไรเข้าปากทั้งสิ้น
จินงูจิปล่อยมือออกแล้วส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ
“งั้นฉันควรให้ความเป็นส่วนตัวกับนายสินะ”
ว่าพลางไหวไหล่ก่อนจะเดินออกไปให้พ้นจากสายตาของผู้ที่นั่งจ้องจานอาหารด้วยสายตาเหม่อลอย
เขาไม่ได้หันมองตามอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ายังแอบมองมาที่ตนอยู่หรือไม่
เส้นพาสต้าชุ่มซอสถูกเขี่ยไปมาในจาน ส้อมถูกปล่อยลงกระทบขอบจาน
ฝ่ามือที่สั่นระริกเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วในคราเดียวด้วยความกระหาย
ดวงตาสีอเมทิสต์เหลือบมองมื้อเช้าบนโต๊ะอย่างชั่งใจ
สุดท้ายก็ยอมที่จะตักขึ้นมากินสองสามคำก่อนจะวางส้อมลงตามเดิม อย่างน้อยก็ได้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง
ไม่ใช่ว่ารสชาติย่ำแย่แต่พอนึกถึงหน้าคนที่ทำมันให้เขาก็ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหาร
ฮิจิริคาวะมองข้างของบนโต๊ะแต่ก็ตัดสินใจจะวางปล่อยไว้แบบนั้นทั้งที่ตามนิสัยของตนแล้วจะยกไปเก็บและทำความสะอาดให้เรียบร้อย
คงเพราะวันนี้มีแต่เรื่องชวนไม่สบอารมณ์และเขายังไม่อยากเขวี้ยงจานแตก
หลังจากที่คิดได้ว่าเขาคงไม่สามารถทนหลบหน้าคนพวกนั้นได้ทั้งวันจึงลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วตรงไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น
คามิวและจินงูจิกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาแต่เมื่อทั้งสองรับรู้ถึงการมาของเขาการสนทนาจึงหยุดลง
คนผมบลอนซ์หรี่ตามองมาทางเขาก่อนจะเบือนหน้าหลบไปทางอื่น
ส่วนอีกคนยกมือขึ้นทักทายแล้วกวักเรียกให้เดินเข้าไปใกล้
อะไรอีกล่ะ..
มุมปากสองข้างกดลงให้บึ้งหน้าแต่ก็ยอมเดินไปหาโดยที่ไม่ลืมที่จะทิ้งระยะห่างไว้ให้หลบหลีกทันหากเกิดอะไร
จินงูจิใช้สายตามองอย่างสอดส่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางขยับยิ้มออกมา
เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกกคามด้วยสายตาที่สุดแสนจะเสียมารยาทนั่น
“ก่อนหน้านี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ทัก
นายเข้ากับชุดแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะ” ประโยคเอ่ยชมคงไม่ได้ทำให้ผู้รับฟังรู้สึกดีใจเท่าไหร่เนื่องจากอารมณ์ไม่ค่อยจะดี
“จะอยู่เฝ้าฉันกันทั้งคู่เลยหรอ”
เขาเมินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดพร้อมกับถามกลับไป
“อยากให้อยู่ทั้งคู่เลยรึเปล่าล่ะ?~”
เร็นเอ่ยถามด้วยเสียงหยอกล้อทั้งที่รู้แก่ใจว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าคงอยากจะไล่ออกไปทั้งสองคนนั่นแหละ
“อา..ถึงนายจะไม่อยากให้ใครอยู่เลยก็เถอะ
แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ” ด้วยเหตุนั้นจึงเอ่ยดักทางเอาไว้แล้วเงยมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจนั่น
“นายจะให้ฉันเลือกสักคนงั้นสิ
? ” ฮิจิริคาวะยกแขนขึ้นกอดอกเปรยสายตามองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง
จะเป็นใครก็ชวนอึดอัดใจทั้งคู่อยู่ดี
จินงูจิกวนประสาทเขาและชอบที่จะปั่นหัว
เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้และเกลียดไปพร้อม ๆ กัน
คุณคามิวแม้จะพูดน้อยกว่าแต่จากเรื่องที่ผ่านมาก็ทำให้ไม่อยากจะอยู่ใกล้ให้เจ็บแค้นใจเปล่า
ๆ
มีแต่ทางเลือกที่แย่ขึ้นกับว่าอะไรจะทำให้เขารู้สึกแย่ได้น้อยกว่ากันเท่านั้น
“คุณคามิว..” ตัดสินใจได้ไม่ยาก..
เจ้าของนามเหล่กลับมามองเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว
ส่วนชายอีกคนขยับยิ้มบางพร้อมยันกายลุกขึ้นยืน
เขาสูดหายใจลึกพลางปิดลงตาก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“ช่วยออกไปเถอะครับ”
เมื่อจบประโยคคนทั้งสองต่างเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
นัยน์ตาคู่สีน้ำแข็งนิ่งงันไประยะหนึ่ง คามิวหันขวับมาหาผู้ที่ออกปากไล่ตนก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตูแล้วออกไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
จินงูจิมองตามชายผมบลอนซ์จนกระทั่งหายไปจากห้องก่อนจะหันกลับมาหาฮิจิริคาวะมายืนนิ่งไม่แม้แต่จะจะเหล่มองคนที่จากไป
“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ ?
” ในวินาทีที่ชื่อของคามิวถูกเรียกเร็นคิดว่าตัวเองคงจะเป็นคนที่ต้องออกไปเสียแล้ว
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ไหนจะเรื่องระหว่างคนทั้งสองที่พอจะคาดเดาได้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“ฉันไม่คิดจะพิศวาสนายหรอกนะ
อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ” เขาเอ่ยดักทางเอาไว้ก่อนและเลือกที่จะไม่ตอบคำตอบของอีกฝ่าย
ฮิจิริคาวะเดินผ่านหน้าของอีกคนเพื่อไปนั่งบนอีกฝั่งของโซฟา
เอนหลังพิงแล้วถอนหายใจยาวออกมาแต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลในใจแต่อย่างใด
ชั่ววูบหนึ่งที่แววตาสีฟ้าฉายแววหม่นลงก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะ..
อยู่กับบารอนจะทำให้นายปวดใจมากกว่าสินะ?” เร็นทิ้งตัวลงนั่งข้าง
ๆ แล้วเอ่ยออกมาลอย ๆ ไม่ได้คาดหวังคำตอบ
“นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรกัน”
เขาเลือกที่จะเมินคำถามของอีกฝ่ายอีกครั้งเพราะรู้อยู่ว่าจินงูจิคงแค่พูดไปเรื่อยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร
จินงูจิเขยิบตัวเข้ามาให้ใกล้ขึ้นอีกแล้วโน้มตัวมาจ้องใบหน้าโดยใช้มือข้างนึงยันไว้บนพนักพิงของโซฟา
ทำให้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองประจันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แววตาของหมอนั่นแฝงด้วยเลศนัยไม่ต่างกับรอยยิ้ม
“แล้วฉันจะได้อะไรตอบแทนล่ะ
? ” น้ำเสียงหรี่เบาลงจนกลายเป็นการกระซิบ
เขาชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วดันให้ออกไปอยู่ห่าง ๆ เพราะการที่อยู่ใกล้ชิดกันแช่นนี้มันชวนให้นึกถึงเรื่องแสนอัปยศที่เคยเกิดขึ้น
“อะไรกัน..คิดจะใช้ประโยชน์จากฉันอยู่ฝ่ายเดียวเลยหรอ”
เร็นทำเสียงตัดพ้อแต่ก็ยอมถอยตัวออกไป
เขามองค้อนคนแสร้งทำเสียงเศร้านั่นพลางเบ้ปากใส่
“เหอะ..ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรก”
ใช้ประโยชน์อะไรกันมีแต่เขาต่างหากที่เสียผลประโยชน์ในทุกทางจะทั้งเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
การที่โดนหลอกให้ไว้ใจ การที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่
การที่ถูกเค้นให้ตอบเรื่องที่ไม่ได้รู้จนถูกหาว่าโกหกเขา
การที่ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีจนไม่เหลือ
จนเขาไม่สามารถจะคิดภาพหลังจากนี้ออกเลยว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง
ไม่สิ จะรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้ยังไงก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ
จะตั๊นท์หน้าหมอนี่แล้ววิ่งออกไปจากห้องนี้...ถ้ามันง่ายดายเช่นนั้นก็คงดี
จากการที่สามารถพาตัวเขามาได้หลายวันโดยไม่มีใครสงสัยแบบนี้แล้วคงไม่ใช่คนระดับธรรมดาหรือใช้แผนการกระจอก
ๆ เป็นแน่
แหงสิ..ใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้าอย่างต่ำก็คงสี่เดือนนับตั้งแต่ที่คุณคามิวแฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาฯของเขา
ฮิจิริคาวะก้มหน้าที่สลดลงจ้องไปที่หน้าตักตนเอง มือทั้งสองขยำผ้าของชุดที่ใส่ระบายความอัดอั้นใจที่ตนนั้นไม่รู้อะไรและไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
คิดจะหนีก็ทำไม่ได้ จะหาข้อมูลมาแก้ต่างให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อีก
“อาจจะมีคนกำลังโยนความผิดให้นายอยู่ก็ได้”
คนที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดออกมาลอย ๆ โดยที่ไม่ได้หันมอง
ฮิจิริคาวะเลิกคิ้วอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั่นคือการตอบคำถามของเขาอย่างนั้นหรือ
โยนความผิด ?
เรื่องอะไรกัน..
“นายหมายความว่าอะไร..”
สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกคาใจเป็นอย่างมากและเขาก็ต้องการที่จะรับรู้ข้อมูลให้มากกว่านี้
อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบไม่ได้พูดต่อแต่เขาก็ยังคงนั่งจ้องรอคำตอบ
จนในที่สุดสายลับหนุ่มก็เขยิบตัวหันมาทางเขาแล้วจ้องหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“ขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง
แต่ตอนนี้ฉันบอกนายได้เท่านี้แหละ” แววตาที่มองมานั้นดูสงบนิ่งไม่สมกับเป็นเจ้าตัวแต่กระนั้นก็เหมือนซ่อนหลากหายความรู้สึกเอาไว้
แววตาแบบนี้รวมทั้งคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเป็นความจริงหรือเปล่า ?
แล้วเขาเลือกที่จะเชื่ออะไรในตอนนี้ได้บ้างหรือเปล่า ?
“กำซะแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ยับหมดหรอกน่า”
จินงูจิพูดทักขณะจ้องฝ่ามือที่ขยุ้มชุดยูคาตะอยู่มาพักใหญ่ ๆ
คนถูกทักรับคลายมือออกในทันทีแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมานานราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้วไม่มีใครลุกหรือขยับตัวไปไหน
“บารอนอุตส่าห์ไปหามาให้เลยนะ~”
คงเพราะเป็นนิสัยติดตัวจึงได้พูดแซวหยอกล้อโดยไม่ยอมดูบรรยากาศ
หรือไม่ก็จงใจทั้งที่ดูออก
เขานิ่งไปยามที่ได้รับรู้ว่าเสื้อผ้าที่เขานึกแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นยูคาตะแท้จริงแล้วคน
ๆ นั้นเป็นผู้เลือกมาให้เอง อันที่จริงเขาก็เคยบอกคุณคามิวเอาไว้ช่วงที่ได้ไปทำงานนอกสถานที่ในโรงแรม
เพราะที่พักเป็นสไตล์แบบดั้งเดิมจึงมีการเปลี่ยนชุดมาใส่ยูคาตะ
ซึ่งก็ได้เปรยออกไปว่าปกตินั้นเวลาที่อยู่บ้านเขาก็มักจะสวมเป็นประจำอยู่แล้ว
ไม่นึกว่า..อีกฝ่ายจะจำได้..
ดีใจอย่างนั้นหรือ ก็ไม่เชิง..
จะว่าเจ็บใจที่ดันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็ใช่
ความเจ็บแปลบแล่นเข้ามาในอกจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้
เกลียดความรู้สึกที่ตีกันแบบนี้ชะมัด
“จริงด้วย..วันแรกคนที่เช็ดตัวกับทำความสะอาดตัวให้นายก็คือบารอนล่ะ”
เร็นยังคงเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าของคนฟังจะรู้สึกอึดอัดขนาดไหน
“ผ้าเช็ดหน้านั่นนายก็ปักให้บารอนสินะ
? ”
“เลิกพูดถึงซะทีเถอะ”
ที่ยอมเลือกอยู่กับจินงูจิทั้งที่หมอนี่ปากมากพูดเยอะแถมน่ารำคาญก็เพราะมันดีกว่าที่ต้องทนอึดอัดมองหน้าหรืออยู่ร่วมกับคนที่หลอกลวงเขานั่นแหละ
“นายคงรักบารอนมากจนตัดใจไม่ได้ล่ะสิ”
อีกฝ่ายยังคงไม่เลิกจี้ประเด็นนี้ไหนจะน้ำเสียงยียวนนั่นอีก
บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังสนุกที่ได้ทำ
“ฉันบอกให้หยุดพูดไงเล่า!!”
เขาตะคอกใส่สุดเสียงด้วยความอารมณ์ที่เดือดพล่าน
แทนที่จะสำนึกอีกฝ่ายกลับทำสิ่งที่ทำให้เขาต้องโมโหยิ่งกว่าเก่า
หมอนั่นขยับยิ้มแล้วหัวเราะใส่
“แทงใจดำรึไง ? ”
สิ้นคำพูดกำปั้นก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าคนกวนประสาทอย่างรวดเร็วจนต้องหันไปตามทิศทางของแรง
เจ้าของหมัดยังคงกำไว้แน่นจนมือสั่นจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้อไปยังผู้ที่ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากที่ถูกชก
จินงูจิไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจอะไรกับการกระทำของอีกคนพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ซึมบนมุมปากด้วยท่าทีใจเย็น
“คงสนุกมากสินะที่ได้ย่ำยีความรู้สึกคนอื่นน่ะ”
เนื้อตัวสั่นเทาด้วยโทสะเขานึกอยากจะฝากรอยชกไว้บนหน้าอีกฝ่ายเพิ่มสักสองสามรอย
“สนุกสิ..ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้แล้วทำให้ฉันสนุกมากเลยล่ะ”
เร็นเอ่ยแบบไม่ยี่หระพร้อมกับยักไหล่ทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เขาอาจจะคิดผิดอย่างมหันต์ก็ได้ที่เลือกให้จินงูจิเป็นผู้อยู่เฝ้า
“นายมันน่ารังเกียจที่สุด”
รู้ว่าต่อให้สถบด่าแค่ไหนก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ
“นายเองก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรอ..ฉันจำได้ว่านายเป็นฝ่ายที่บอกฉันเองนะ
แถมยังยอมแบ่งไปจากฉันอีกด้วย” ปลายลิ้นตวัดเลียคราบเลือดก่อนจะขยับปากวาดยิ้ม
ฮิจิริคาวะเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อเมินคำพูดนั่น เมื่อรู้สึกว่าการอยู่ตรงนี้คงไม่ก่อให้เกิดอะไรมากไปกว่าสงครามประสาทเขาจึงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหนีกลับไปที่ห้อง
ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น..
ฝ่ามือสีแทนเอื้อมมือมาคว้าข้อมือขาวเพื่อรั้งเอาไว้
ชายผมสั้นไม่ได้หันหน้ากลับไปมองและพยายามสะบัดทิ้ง
“คิดว่านายจะเถียงฉันกลับซะอีก..อย่างเช่น..
‘มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก’ ” ออกแรงดึงให้ถอยกลับมาจนแผ่นหลังมากระทบที่แผ่นอก
“นายจะยังต้องการอะไรจากฉันอีกล่ะ”
ฮิจิริคาวะพยายามควบคุมโทนเสียงให้นิ่งที่สุด
ผู้ที่อยู่ข้างหลังลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางเลื่อนแขนมาโอบร่างตรงหน้าไว้ก่อนจะก้มลงกระซิบชิดใบหู
“ฉันสนความต้องการของนายมากกว่านะ..อยากจะใช้ประโยชน์จากฉันอีกหรือเปล่าล่ะ
? ”
“ฉันไม่มีอารมณ์”
เขาเอ่ยปฏิเสธและขืนตัวออกจากอ้อมแขนอีกคนได้โดยง่าย
เร็นไม่ได้พยายามยื้อตัวหรือเกลี้ยกล่อมอะไรแล้วยืนมองอยู่เฉย ๆ
ขณะที่ฮิจิริคาวะเข้าห้องนอนไปแล้วปิดประตูใส่หน้า นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดไปจากที่คาด
ก็ไม่ได้คาดเดาได้ถูกเสมอไป..
บานประตูไม้ถูกเปิดแล้วปล่อยให้แง้มออกมาอย่างช้า ๆ
เงาร่างของผู้ที่อยู่ด้านในกำลังยืนหันข้างอยู่ไม่ห่างจากประตูสามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
แขนทั้งสองกำลังหอบผ้าสีกรมท่าไว้อยู่ นัยน์ตาคู่อเมทิสต์ที่หม่นหมองจนไร้แววเหล่มายังผู้ที่อยู่ข้างนอก
กองผ้าที่ถูกขยำเป็นก้อนถูกโยนออกมาใส่ร่างสูงที่กำลังงุนงง
“ช่วยเอาไปทิ้งทีสิ..มีมันอยู่ด้วยฉันทำไม่ลงหรอก”
เอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็งราวกับเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ นัยยะหนึ่งคือต้องการหมายถึงผู้ที่มอบให้กับเขา
ตัวตนจริง ๆ ที่ไม่ต้องการจะนึกถึง
“ฉันจะใช้ประโยชน์จากนายให้มากที่สุด..ต้องการแบบนั้นไม่ใช่รึไง”
เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะคลอไปพร้อมกับเสียงครางและกรีดกรายปลายเล็บลงบนผ้าปูเตียง
ปลายนิ้วเท้าจิกลงระบายความเสียวซ่านที่แล่นผ่านจากต้นขาไล่ไปตามข้อเท้าที่สั่นเกร็ง
ความร้อนประทับลงแนบกับผิวเนื้อนุ่มส่วนที่บางไวสัมผัส
ไล่เข้ามาจนศีรษะชิดกับกลางลำตัว
มือทั้งสองขยุ้มเส้นผมยาวสีทองใช้ไว้เป็นที่ยึดขณะเอวบิดเร่าไปมา ริมฝีปากเผยออกจนหยาดน้ำลายใสเยิ้มที่ข้างมุมปาก
“อะไรกัน..ทำท่ารังเกียจฉันแท้
ๆ แต่กลับความรู้สึกไวจริงนะ” อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
แต่กลับถูกทึ้งเส้นผมอย่างแรงจนต้องเงยขึ้น
“หุบปากไปซะ...ฉันไม่ต้องการได้ยินเสียงของนาย..”
เร็นเพียงขยับยิ้มไม่ส่งเสียงตอบรับเพราะตนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะรับรู้ตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหน้าว่าแท้จริงแล้วคือเขา
ฝ่ามือเอื้อมขึ้นลูบที่ข้างแก้มบนใบหน้าซึ่งถูกโอบิเส้นสีดำคาดปิดตาเอาไว้ ชายหนุ่มเลื่อนตัวขึ้นไปคร่อมไว้เหนือร่างที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น
ไล้นิ้วป้งกดไปบนกลีบปากที่ขยับเรียกเอือนเอ่ยถึงชื่อ
“ผม..รักคุณ...คุณคามิว..”
ถ้อยคำนั้นถูกประกบปิดไว้ด้วยรสจูบที่ร้อนแรงซึ่งช่วยสุมไฟในกายให้ยิ่งลุกโชน
สองแขนเรียวยกขึ้นโอบไว้รอบที่หลังคอเบียดเสียดกายเข้าหา
สำนึกทั้งหมดได้ถูกเผาไหม้ไปจนสิ้น จะเหลือไว้ก็เพียงความสุขที่หลอกลวง
-TBC.-