5.25.2559

[AU Fic Utapri] ♥Kill game♠ [Ren x Masato x Camus] [4]

Fan-fiction Utapri

Title :
 
Kill game
Pairing(?) : Ren x Masato x Camus
Warning : 3P!! , AU, อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจอะไรทั้งสิ้น
Rate : 15+

Note : ย้ำอีกครั้งแฟนฟิคนี้อิงธีมจาก Joker trap , ยังไม่ถึงปีซะหน่อยน่า...
ตอนเก่า : [1] [2] [3]


Ch.4


               ฮิจิริคาวะมองภาพร่างทั้งสองที่นอนคร่อมกันอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่สับสนปนกันไปหมด เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แล้วการกระทำเมื่อครู่ของทั้งคู่ที่เขาเห็นนั้นมีความหมายว่าอย่างไร นัยน์ตาสีอเมทิสต์กะพริบมองอยู่หลายวินาทีก่อนจะหลบตาไปและทำท่าจะก้าวเดินหลบไปทางอื่น

รอยยิ้มแฝงเลศนัยถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษที่มีแววตาเจ้าเล่ห์เมื่อฮิจิริคาวะหมุนตัวหันหลังให้แล้วตรงกลับไปที่ห้อง

               จริงสิบารอน รู้รึเปล่าว่าฮิจิริคาวะน่ะนะ..ระดับเสียงของจินงูจิจงใจเอ่ยให้ดังมากพอที่จะไปถึงโสตประสาทของผู้ที่อยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้ผู้ที่มีชื่ออยู่ในประโยคสนทนาต้องรีบหันกลับมามองดั่งที่คาด

เขาปรายตามองไปที่จินงูจิที่กำลังขยับยิ้มมาหา เพียงเท่านั้นความกระสับกระส่ายก็ก่อตัวขึ้นมาคล้ายคนมีความผิดที่กลัวจะถูกเปิดโปง

หมอนั่น..คงไม่คิดที่จะพูดเรื่องนั้น..ใช่หรือเปล่า

               ก่อนหน้านี้วันที่บารอนไม่อยู่..-ประโยคขึ้นต้นน่าจะกระตุกความหวาดกลัวในเรื่องที่เจ้าตัวต้องการปกปิดได้เป็นอย่างดี

               จินงูจิ!!” เขาเผลอขึ้นเสียงเพื่อแทรกไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ กว่าจะรู้ตัวตนเองก็กลายเป็นจุดสนใจจากสายตาทั้งสองคู่ที่โซฟานั่นเสียแล้ว

               นาย..ทำเสียงดังจนฉันตื่น ไร้มารยาท..นับว่าเป็นการเบี่ยงประเด็นได้แย่สุด ๆ และทำให้เรื่องแย่ยิ่งกว่าเก่าเพราะฝ่ายที่ถูกโบ้ยความผิดนั่นลุกเดินมาทางเขา

               เห..นั่นสินะฉันผิดเองแหละ~” น้ำเสียงยียวนนั่นทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ชอบมาพากล จินงูจิวาดยิ้มมุมปากแล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงค่อย

               คิดว่าฉันจะพูดเรื่องนั้นหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก..มันเป็นความลับระหว่างเรานี่นาฝ่ามือช้อนไว้ที่หลังศีรษะก่อนจะออกแรงกดให้ก้มลงเล็กน้อยจนหน้าผากซบกับไหล่กว้าง

ใจจริงอยากจะผลักออกไปให้อยู่ห่างตัว แต่ก็กลัวว่าอีกคนนั้นจะเปลี่ยนใจเรื่อง ความลับที่ว่านั่น เขาจึงได้แต่บึ้งหน้าแสดงความไม่พอใจแล้วใช้มือดันให้ใบหน้าตนเองผละออกมา

               จะใช้เป็นข้อต่อรองกับฉันล่ะสิ?เขาพูดด้วยเสียงเบาเพื่อไม่ให้คุณคามิวได้ยิน

               ฉันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่าเพราะลักษณะเนื้อเสียงที่เจ้าตัวใช้เป็นปกติค่อนข้างจะตีความได้ยากอยู่แล้วจึงจับไม่ได้ว่ากำลังพูดจริงหรือหลอกลวง

แม้ว่าจะจินงูจิจะดูไม่มีความน่าเชื่อถือเลยก็ตาม แต่เขาก็พยายามที่จะ หวังว่าเจ้าตัวจะรักษาคำพูด


               เจ้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน ?เนื่องจากถูกมองข้ามมานานชายหนุ่มผมบลอนซ์จึงจำเป็นจะต้องเอ่ยขัดจังหวะให้รับรู้การมีตัวตนของตน

ฮิจิริคาวะเขยิบตัวมายืนห่าง ๆ จินงูจิพลางก้มหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรออกไปแทนเรื่องเมื่อครู่ดี เขาได้แต่ส่งสายตาไปให้คนข้าง ๆ ที่น่าจะสามารถนึกเรื่องกลบเกลื่อนได้ดี

               ฉันแค่จะบอกว่าเมื่อวานฮิจิริคาวะทำอาหารให้ด้วยล่ะ ฝีมือก็ใช้ได้เลยนะ~” เจ้าตัวก็พูดได้ลื่นไหลไม่สะดุดใด ๆ ตามที่คิดไว้จริง ๆ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคิดได้ว่าหรืออันที่จริงแล้วหมอนี่ตั้งใจจะแกล้งเขาให้ร้อนตัวตั้งแต่ทีแรก คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกหน้าเสียขึ้นมาทันทีที่เผลอโผล่งออกไปแบบนั้น

               หึ..เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วถึงจุดประสงค์จะเป็นการประกาศว่ารู้ข้อมูลในส่วนนั้นดีอยู่แล้วไม่ต้องบอกให้ทราบอีกก็ตาม แต่กระนั้นก็ทำให้ย้อนนึกไปถึงช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้ลิ้มรสฝีมือการทำขนมหรืออาหารที่คนตรงหน้ามักจะนำมาฝากอยู่เสมอ คามิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปชั่ววูบก่อนจะกลับมาตีหน้าถมึงทึงตามเดิม

โดยที่อาจจะไม่รู้เลยว่าฮิจิริคาวะเองก็กำลังย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนแววตาที่สลดลง แต่เหมือนว่าจะมีอีกคนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว

               ไม่ง่วงแล้วงั้นหรอฮิจิริคาวะ ? ถ้าอย่างนั้นให้ฉันพากลับไปนอนดีมั้ยจินงูจิเอ่ยหยอกคนข้าง ๆ เพื่อทำลายความเงียบเชียบเมื่อครู่

เขาไม่ได้เงยมองหน้าอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ากำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเช่นไร และเขาก็ไม่อยากจะเห็นเช่นกัน อันที่จริงไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าของทั้งสองคนอีกแล้ว อยากจะไปให้พ้น ๆ จากที่นี่ตอนนี้ได้ยิ่งดี

               เมื่อไหร่พวกนายจะปล่อยฉันไปซะทีเขากำหมัดไว้แน่นขณะพูดถาม แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ
จินงูจิถอนหายใจยาวคล้ายเบื่อหน่ายกับคำถามที่มักถามอยู่ซ้ำ ๆ นั่น

               ฉันก็บอกนายไปแล้ว..”

               “ฉันก็บอกไปแล้วเหมือนกันว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!!”

ฮิจิริคาวะตะคอกใส่อย่างเหลืออดก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเข้าไปในห้องให้ไวที่สุดที่จะทำได้ เขากระแทกปิดบานประตูเสียงดังจนกำแพงรอบข้างสั่นไปด้วย



นี่มันบ้าชัด ๆ ทำไมเขาจะต้องมาทนกับเรื่องงี่เง่านี่ด้วย





               เป็นอีกคืนที่ไม่ได้ต่างจากคืนอื่น ๆ เลย เขาไม่สามารถข่มตาลงหลับได้อย่างสนิท เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้นอนพักเลย ใครจะไปหลับลงทั้งที่มีเรื่องมากมายก่อกวนจิตใจแบบนี้กัน แต่ก็ยังดีกว่ามีคนมาเฝ้าในห้อง ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจยามที่มองเห็นสิ่งที่ถูกวางไว้ที่ปลายเตียง

ยูคาตะสีพื้นกรมท่าและชั้นในถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย อันที่จริงถ้าไม่นับเสื้อคลุมที่ได้มาจากคุณคามิวเขาตัวเองก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นใดเลยที่จะใช้ปกปิดร่างกาย อย่างน้อยสองคนนั้นก็ยังมีความเห็นใจอยู่บ้างที่หาชุดมาให้เขาใส่

ฮิจิริคาวะถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งออกแล้วลงไปยืนที่พื้นเพื่อหยิบชุดขึ้นมาสวม สายโอบิถูกผูกไว้เป็นปมที่ข้างหลังด้วยความคล่องแคล่ว
แต่ก็ชวนน่าประหลาดใจอยู่บ้างที่เป็นยูคาตะที่เขามักจะสวมเวลาอยู่บ้าน ทำไมถึงไม่เอาเสื้อทั่วไปมาให้เขากันล่ะ ..ถึงจะติดใจไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี

จะว่าไปแล้ว..จะยังอยู่ทั้งสองคนเลยหรือเปล่านะ ถึงไม่อยากจะออกไปเจอหน้าแต่ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้วเลย ไหนจะที่นอนร้องจนคอแห้งอีก


สุดท้ายก็ต้องจำใจออกไป ขณะหมุนลูกบิดประตูเขาได้แต่ภาวนาว่ากลับไปแล้วสักคนก็ยังดี เมื่อแง้มบานประตูแล้วชะเง้อออกไปก็ต้องผิดหวังตามคาด เงาของร่างสูงสองคนยืนอยู่ไม่ห่างมากขึ้นจากห้องนอน แต่เหมือนทั้งคู่จะไม่ได้สังเกตว่าเขาออกมาจากห้องเพราะกำลังยืนคุยบางอย่างที่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญกันอยู่

และนั่นก็ทำให้เขาอยากที่จะได้ยิน..เพราะอาจจะเกี่ยวกับเขาก็ได้

ฮิจิริคาวะค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปให้อยู่ในระยะที่จะได้ยินเสียงแล้วอาศัยหลบที่หัวมุมกำแพงเพื่อแอบฟัง ทั้งคู่ไม่ได้ใช้เสียงที่ดังมากแต่ก็ไม่ถึงขั้นกระซิบกระซาบจนไม่ได้ยิน

               แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเองน่า.. เห็นบารอนสนใจจน.....

               “ไร้สาระ.. ข้าเพียง........เพื่อภารกิจ......ไม่พลาด

เขาได้ยินเพียงบทสนทนาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

               ...ข้อมูลใหม่ที่ข้า........ เจ้านั่นอาจจะ...... ก็ได้...

               “เห... ถือว่าน่าสนใจเลยนะ

นัยน์ตาคู่อเมทิสต์เบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยินแม้จะไม่ครบแต่ก็ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องของเขาอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งอยากจะได้ยินทั้งหมด ฮิจิริคาวะพยายามเขยิบตัวแล้วชะเง้อศีรษะไปให้ใกล้มากขึ้น


               น่าสนใจจนเจ้าตัวต้องตื่นมาแอบฟังเองเลยล่ะ


ฮิจิริคาวะตัวแข็งทื่อในทันทีเมื่อโดนจับได้ เขาค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองหน้าทั้งสองคนที่หันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว สีหน้าของทั้งคู่เขาเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

จินงูจิยังคงยิ้มทำหน้ากะล่อนตามปกติ ส่วนคามิวมีสีหน้าบึ้งตึงดั่งเช่นทุกครั้ง

ลำคอที่แห้งผากอยู่แล้วพยายามกลืนน้ำลายเหนียวลงไป คนสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจก้าวเท้าเดินสาวเข้าไปหาด้วยตัวเองแทนที่จะหนี

               กำลังพูดถึงฉันกันอยู่ใช่หรือเปล่าฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งแล้วช้อนมองด้วยสายตาจริงจัง

               หากใช่แล้วเจ้าจะทำไมรึ ? คามิวเปรยตามองแล้วตั้งคำถามกลับ

แม้ว่าสายตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความกดดันแต่ก็ไม่ทำให้เขาถอยได้หรอก

               ผมก็ต้องการที่จะรู้น่ะสิครับเขาจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

               แล้วถ้าข้าเลือกที่จะไม่บอกเล่า ? อความารีนจิกลงจ้องอย่างเชอดเฉือน ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบเป็นปมพลางเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงไม่กี่คืบ

บรรยากาศอึมครึมเริ่มเข้าปกคลุมจนห้อง ฮิจิริคาวะจ้องสายตาเย็นชาคู่นั้นอย่างไม่วางตา

               ไม่เอาน่าบารอน~ เลิกแกล้งหมอนี่ซะทีเถอะจินงูจิเอ่ยพลางเดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งคู่เพื่อทะลายความอึดอัดที่กำลังก่อตัวขึ้น ชายหน้าทะเล้นยกแขนขึ้นคล้องไว้บนไหล่ของคนหน้าทะมึนแล้วดึงพาตัวให้ถอยออกห่างจากชายผมสั้น

คามิวส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดทำสงครามประสาทกับฮิจิริคาวะ เร็นเหล่มองผู้ที่ยืนกำหมัดจนมือสั่นพลางถอนหายใจ

               นายท่าจะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ฉันทำมื้อเช้าเผื่อไว้อยู่บนโต๊ะน่ะถือว่าตอบแทนคราวก่อนที่จริงแล้วก็กะจะไปเรียกที่ห้องนอนหลังจากที่คุยธุระกันเสร็จแต่ว่าเจ้าตัวดันตื่นก่อนเสียได้

               ถ้านายอยากจะตอบแทนอะไรฉันก็ปล่อยฉันไปซะสิ ฉันจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเรื่องบ้า ๆ แบบนี้!” เขาหันไปตวาดใส่เสียงกร้าวด้วยความเหลืออด ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง

               อยู่ ๆ ก็มาทำดีด้วย คิดว่านั่นจะทำให้ฉันลืมเรื่องเลวทรามก่อนหน้านี้ได้งั้นหรอ!!” ฮิจิริคาวะถลาตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อของชายผมทองพลางกัดฟันกรอดจ้องเขม็งอย่างโกรธแค้น

เร็นคว้าที่ข้อมือขาวก่อนจะออกแรงบีบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนที่กำลังเดือดดาลต้องยอมปล่อยมือออก นัยน์ตาสีฟ้าสว่างที่จ้องมานั้นไร้แววทะเล้นแบบที่เคยเป็น ชายหนุ่มส่ายศีรษะช้า ๆ ก่อนจะจับล็อคตัวของเขาไว้แล้วดันให้เดินตรงไปทางโต๊ะกลมซึ่งมีจานอาหารเช้าวางไว้พร้อม เขาถูกขืนบังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ

ฮิจิริคาวะบึ้งหน้าปรายตามองขนมปังกรอบและเส้นพาสต้าซอสมะเขือเทศในจาน เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทำของแบบนี้ในตู้และก็ไม่คิดว่าด้วยว่าอีกฝ่ายจะทำอาหารเป็น

               น่ากินใช่รึเปล่าล่ะ~” น้ำเสียงยียวนกลับมาอีกครั้ง เร็นขยับยิ้มบีบบ่าทั้งสองข้างแล้วเลื่อนมือลงมาที่แขนก่อนจะจับให้เลื่อนไปจับช้อนส้อม

               นายคิดว่าฉันจะกินลงรึไง ? ไม่ได้ประชดประชันแต่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากจะกลืนอะไรลงท้อง ทั้งขยาดทั้งแสบคอ ยิ่งถูกสองคนนี้ยืนจ้องด้วยแล้วยิ่งไม่มีอารมณ์อยากจะตักอะไรเข้าปากทั้งสิ้น

จินงูจิปล่อยมือออกแล้วส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ

               งั้นฉันควรให้ความเป็นส่วนตัวกับนายสินะว่าพลางไหวไหล่ก่อนจะเดินออกไปให้พ้นจากสายตาของผู้ที่นั่งจ้องจานอาหารด้วยสายตาเหม่อลอย


เขาไม่ได้หันมองตามอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ายังแอบมองมาที่ตนอยู่หรือไม่ เส้นพาสต้าชุ่มซอสถูกเขี่ยไปมาในจาน ส้อมถูกปล่อยลงกระทบขอบจาน ฝ่ามือที่สั่นระริกเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วในคราเดียวด้วยความกระหาย

ดวงตาสีอเมทิสต์เหลือบมองมื้อเช้าบนโต๊ะอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ยอมที่จะตักขึ้นมากินสองสามคำก่อนจะวางส้อมลงตามเดิม อย่างน้อยก็ได้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง ไม่ใช่ว่ารสชาติย่ำแย่แต่พอนึกถึงหน้าคนที่ทำมันให้เขาก็ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหาร

ฮิจิริคาวะมองข้างของบนโต๊ะแต่ก็ตัดสินใจจะวางปล่อยไว้แบบนั้นทั้งที่ตามนิสัยของตนแล้วจะยกไปเก็บและทำความสะอาดให้เรียบร้อย คงเพราะวันนี้มีแต่เรื่องชวนไม่สบอารมณ์และเขายังไม่อยากเขวี้ยงจานแตก




               หลังจากที่คิดได้ว่าเขาคงไม่สามารถทนหลบหน้าคนพวกนั้นได้ทั้งวันจึงลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วตรงไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น คามิวและจินงูจิกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาแต่เมื่อทั้งสองรับรู้ถึงการมาของเขาการสนทนาจึงหยุดลง คนผมบลอนซ์หรี่ตามองมาทางเขาก่อนจะเบือนหน้าหลบไปทางอื่น ส่วนอีกคนยกมือขึ้นทักทายแล้วกวักเรียกให้เดินเข้าไปใกล้

อะไรอีกล่ะ..

มุมปากสองข้างกดลงให้บึ้งหน้าแต่ก็ยอมเดินไปหาโดยที่ไม่ลืมที่จะทิ้งระยะห่างไว้ให้หลบหลีกทันหากเกิดอะไร

จินงูจิใช้สายตามองอย่างสอดส่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางขยับยิ้มออกมา เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกกคามด้วยสายตาที่สุดแสนจะเสียมารยาทนั่น

               ก่อนหน้านี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ทัก นายเข้ากับชุดแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะประโยคเอ่ยชมคงไม่ได้ทำให้ผู้รับฟังรู้สึกดีใจเท่าไหร่เนื่องจากอารมณ์ไม่ค่อยจะดี

               จะอยู่เฝ้าฉันกันทั้งคู่เลยหรอเขาเมินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดพร้อมกับถามกลับไป

               อยากให้อยู่ทั้งคู่เลยรึเปล่าล่ะ?~” เร็นเอ่ยถามด้วยเสียงหยอกล้อทั้งที่รู้แก่ใจว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าคงอยากจะไล่ออกไปทั้งสองคนนั่นแหละ

               อา..ถึงนายจะไม่อยากให้ใครอยู่เลยก็เถอะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะด้วยเหตุนั้นจึงเอ่ยดักทางเอาไว้แล้วเงยมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจนั่น

               นายจะให้ฉันเลือกสักคนงั้นสิ ? ฮิจิริคาวะยกแขนขึ้นกอดอกเปรยสายตามองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง จะเป็นใครก็ชวนอึดอัดใจทั้งคู่อยู่ดี

จินงูจิกวนประสาทเขาและชอบที่จะปั่นหัว เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้และเกลียดไปพร้อม ๆ กัน

คุณคามิวแม้จะพูดน้อยกว่าแต่จากเรื่องที่ผ่านมาก็ทำให้ไม่อยากจะอยู่ใกล้ให้เจ็บแค้นใจเปล่า ๆ

มีแต่ทางเลือกที่แย่ขึ้นกับว่าอะไรจะทำให้เขารู้สึกแย่ได้น้อยกว่ากันเท่านั้น


               คุณคามิว..ตัดสินใจได้ไม่ยาก..


เจ้าของนามเหล่กลับมามองเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว ส่วนชายอีกคนขยับยิ้มบางพร้อมยันกายลุกขึ้นยืน

เขาสูดหายใจลึกพลางปิดลงตาก่อนจะเอ่ยพูดต่อ


               ช่วยออกไปเถอะครับ


เมื่อจบประโยคคนทั้งสองต่างเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาคู่สีน้ำแข็งนิ่งงันไประยะหนึ่ง คามิวหันขวับมาหาผู้ที่ออกปากไล่ตนก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตูแล้วออกไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

จินงูจิมองตามชายผมบลอนซ์จนกระทั่งหายไปจากห้องก่อนจะหันกลับมาหาฮิจิริคาวะมายืนนิ่งไม่แม้แต่จะจะเหล่มองคนที่จากไป

               ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ ? ในวินาทีที่ชื่อของคามิวถูกเรียกเร็นคิดว่าตัวเองคงจะเป็นคนที่ต้องออกไปเสียแล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ไหนจะเรื่องระหว่างคนทั้งสองที่พอจะคาดเดาได้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา

               ฉันไม่คิดจะพิศวาสนายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิดไปล่ะเขาเอ่ยดักทางเอาไว้ก่อนและเลือกที่จะไม่ตอบคำตอบของอีกฝ่าย
ฮิจิริคาวะเดินผ่านหน้าของอีกคนเพื่อไปนั่งบนอีกฝั่งของโซฟา เอนหลังพิงแล้วถอนหายใจยาวออกมาแต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลในใจแต่อย่างใด

ชั่ววูบหนึ่งที่แววตาสีฟ้าฉายแววหม่นลงก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม

               เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะ.. อยู่กับบารอนจะทำให้นายปวดใจมากกว่าสินะ?เร็นทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วเอ่ยออกมาลอย ๆ ไม่ได้คาดหวังคำตอบ

               “นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรกันเขาเลือกที่จะเมินคำถามของอีกฝ่ายอีกครั้งเพราะรู้อยู่ว่าจินงูจิคงแค่พูดไปเรื่อยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร

จินงูจิเขยิบตัวเข้ามาให้ใกล้ขึ้นอีกแล้วโน้มตัวมาจ้องใบหน้าโดยใช้มือข้างนึงยันไว้บนพนักพิงของโซฟา ทำให้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองประจันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แววตาของหมอนั่นแฝงด้วยเลศนัยไม่ต่างกับรอยยิ้ม

               แล้วฉันจะได้อะไรตอบแทนล่ะ ?น้ำเสียงหรี่เบาลงจนกลายเป็นการกระซิบ

เขาชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วดันให้ออกไปอยู่ห่าง ๆ เพราะการที่อยู่ใกล้ชิดกันแช่นนี้มันชวนให้นึกถึงเรื่องแสนอัปยศที่เคยเกิดขึ้น

               อะไรกัน..คิดจะใช้ประโยชน์จากฉันอยู่ฝ่ายเดียวเลยหรอเร็นทำเสียงตัดพ้อแต่ก็ยอมถอยตัวออกไป

เขามองค้อนคนแสร้งทำเสียงเศร้านั่นพลางเบ้ปากใส่

               เหอะ..ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรกใช้ประโยชน์อะไรกันมีแต่เขาต่างหากที่เสียผลประโยชน์ในทุกทางจะทั้งเต็มใจหรือไม่ก็ตาม การที่โดนหลอกให้ไว้ใจ การที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่ การที่ถูกเค้นให้ตอบเรื่องที่ไม่ได้รู้จนถูกหาว่าโกหกเขา การที่ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีจนไม่เหลือ

จนเขาไม่สามารถจะคิดภาพหลังจากนี้ออกเลยว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง

ไม่สิ จะรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้ยังไงก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ

จะตั๊นท์หน้าหมอนี่แล้ววิ่งออกไปจากห้องนี้...ถ้ามันง่ายดายเช่นนั้นก็คงดี จากการที่สามารถพาตัวเขามาได้หลายวันโดยไม่มีใครสงสัยแบบนี้แล้วคงไม่ใช่คนระดับธรรมดาหรือใช้แผนการกระจอก ๆ เป็นแน่ แหงสิ..ใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้าอย่างต่ำก็คงสี่เดือนนับตั้งแต่ที่คุณคามิวแฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาฯของเขา

ฮิจิริคาวะก้มหน้าที่สลดลงจ้องไปที่หน้าตักตนเอง มือทั้งสองขยำผ้าของชุดที่ใส่ระบายความอัดอั้นใจที่ตนนั้นไม่รู้อะไรและไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย คิดจะหนีก็ทำไม่ได้ จะหาข้อมูลมาแก้ต่างให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อีก


               อาจจะมีคนกำลังโยนความผิดให้นายอยู่ก็ได้คนที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดออกมาลอย ๆ โดยที่ไม่ได้หันมอง


ฮิจิริคาวะเลิกคิ้วอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั่นคือการตอบคำถามของเขาอย่างนั้นหรือ


โยนความผิด ?

เรื่องอะไรกัน..


               นายหมายความว่าอะไร..สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกคาใจเป็นอย่างมากและเขาก็ต้องการที่จะรับรู้ข้อมูลให้มากกว่านี้ อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบไม่ได้พูดต่อแต่เขาก็ยังคงนั่งจ้องรอคำตอบ

จนในที่สุดสายลับหนุ่มก็เขยิบตัวหันมาทางเขาแล้วจ้องหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

               ขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง แต่ตอนนี้ฉันบอกนายได้เท่านี้แหละแววตาที่มองมานั้นดูสงบนิ่งไม่สมกับเป็นเจ้าตัวแต่กระนั้นก็เหมือนซ่อนหลากหายความรู้สึกเอาไว้


แววตาแบบนี้รวมทั้งคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเป็นความจริงหรือเปล่า ?

แล้วเขาเลือกที่จะเชื่ออะไรในตอนนี้ได้บ้างหรือเปล่า ?


               “กำซะแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ยับหมดหรอกน่าจินงูจิพูดทักขณะจ้องฝ่ามือที่ขยุ้มชุดยูคาตะอยู่มาพักใหญ่ ๆ

คนถูกทักรับคลายมือออกในทันทีแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมานานราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้วไม่มีใครลุกหรือขยับตัวไปไหน

               บารอนอุตส่าห์ไปหามาให้เลยนะ~” คงเพราะเป็นนิสัยติดตัวจึงได้พูดแซวหยอกล้อโดยไม่ยอมดูบรรยากาศ หรือไม่ก็จงใจทั้งที่ดูออก

เขานิ่งไปยามที่ได้รับรู้ว่าเสื้อผ้าที่เขานึกแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นยูคาตะแท้จริงแล้วคน ๆ นั้นเป็นผู้เลือกมาให้เอง อันที่จริงเขาก็เคยบอกคุณคามิวเอาไว้ช่วงที่ได้ไปทำงานนอกสถานที่ในโรงแรม เพราะที่พักเป็นสไตล์แบบดั้งเดิมจึงมีการเปลี่ยนชุดมาใส่ยูคาตะ ซึ่งก็ได้เปรยออกไปว่าปกตินั้นเวลาที่อยู่บ้านเขาก็มักจะสวมเป็นประจำอยู่แล้ว

ไม่นึกว่า..อีกฝ่ายจะจำได้..

ดีใจอย่างนั้นหรือ ก็ไม่เชิง.. จะว่าเจ็บใจที่ดันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็ใช่

ความเจ็บแปลบแล่นเข้ามาในอกจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้


เกลียดความรู้สึกที่ตีกันแบบนี้ชะมัด


               จริงด้วย..วันแรกคนที่เช็ดตัวกับทำความสะอาดตัวให้นายก็คือบารอนล่ะเร็นยังคงเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าของคนฟังจะรู้สึกอึดอัดขนาดไหน

               ผ้าเช็ดหน้านั่นนายก็ปักให้บารอนสินะ ?

               เลิกพูดถึงซะทีเถอะที่ยอมเลือกอยู่กับจินงูจิทั้งที่หมอนี่ปากมากพูดเยอะแถมน่ารำคาญก็เพราะมันดีกว่าที่ต้องทนอึดอัดมองหน้าหรืออยู่ร่วมกับคนที่หลอกลวงเขานั่นแหละ

               นายคงรักบารอนมากจนตัดใจไม่ได้ล่ะสิอีกฝ่ายยังคงไม่เลิกจี้ประเด็นนี้ไหนจะน้ำเสียงยียวนนั่นอีก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังสนุกที่ได้ทำ

               ฉันบอกให้หยุดพูดไงเล่า!!” เขาตะคอกใส่สุดเสียงด้วยความอารมณ์ที่เดือดพล่าน

แทนที่จะสำนึกอีกฝ่ายกลับทำสิ่งที่ทำให้เขาต้องโมโหยิ่งกว่าเก่า

หมอนั่นขยับยิ้มแล้วหัวเราะใส่


               แทงใจดำรึไง ?


สิ้นคำพูดกำปั้นก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าคนกวนประสาทอย่างรวดเร็วจนต้องหันไปตามทิศทางของแรง เจ้าของหมัดยังคงกำไว้แน่นจนมือสั่นจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้อไปยังผู้ที่ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากที่ถูกชก

จินงูจิไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจอะไรกับการกระทำของอีกคนพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ซึมบนมุมปากด้วยท่าทีใจเย็น

               คงสนุกมากสินะที่ได้ย่ำยีความรู้สึกคนอื่นน่ะเนื้อตัวสั่นเทาด้วยโทสะเขานึกอยากจะฝากรอยชกไว้บนหน้าอีกฝ่ายเพิ่มสักสองสามรอย

               สนุกสิ..ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้แล้วทำให้ฉันสนุกมากเลยล่ะเร็นเอ่ยแบบไม่ยี่หระพร้อมกับยักไหล่ทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เขาอาจจะคิดผิดอย่างมหันต์ก็ได้ที่เลือกให้จินงูจิเป็นผู้อยู่เฝ้า

               นายมันน่ารังเกียจที่สุดรู้ว่าต่อให้สถบด่าแค่ไหนก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ

               นายเองก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรอ..ฉันจำได้ว่านายเป็นฝ่ายที่บอกฉันเองนะ แถมยังยอมแบ่งไปจากฉันอีกด้วยปลายลิ้นตวัดเลียคราบเลือดก่อนจะขยับปากวาดยิ้ม

ฮิจิริคาวะเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อเมินคำพูดนั่น เมื่อรู้สึกว่าการอยู่ตรงนี้คงไม่ก่อให้เกิดอะไรมากไปกว่าสงครามประสาทเขาจึงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหนีกลับไปที่ห้อง

ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น..

ฝ่ามือสีแทนเอื้อมมือมาคว้าข้อมือขาวเพื่อรั้งเอาไว้ ชายผมสั้นไม่ได้หันหน้ากลับไปมองและพยายามสะบัดทิ้ง


               คิดว่านายจะเถียงฉันกลับซะอีก..อย่างเช่น.. มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก’ ” ออกแรงดึงให้ถอยกลับมาจนแผ่นหลังมากระทบที่แผ่นอก

               นายจะยังต้องการอะไรจากฉันอีกล่ะฮิจิริคาวะพยายามควบคุมโทนเสียงให้นิ่งที่สุด

ผู้ที่อยู่ข้างหลังลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางเลื่อนแขนมาโอบร่างตรงหน้าไว้ก่อนจะก้มลงกระซิบชิดใบหู

               ฉันสนความต้องการของนายมากกว่านะ..อยากจะใช้ประโยชน์จากฉันอีกหรือเปล่าล่ะ ?

               “ฉันไม่มีอารมณ์เขาเอ่ยปฏิเสธและขืนตัวออกจากอ้อมแขนอีกคนได้โดยง่าย

เร็นไม่ได้พยายามยื้อตัวหรือเกลี้ยกล่อมอะไรแล้วยืนมองอยู่เฉย ๆ ขณะที่ฮิจิริคาวะเข้าห้องนอนไปแล้วปิดประตูใส่หน้า นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดไปจากที่คาด



ก็ไม่ได้คาดเดาได้ถูกเสมอไป..



บานประตูไม้ถูกเปิดแล้วปล่อยให้แง้มออกมาอย่างช้า ๆ เงาร่างของผู้ที่อยู่ด้านในกำลังยืนหันข้างอยู่ไม่ห่างจากประตูสามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน แขนทั้งสองกำลังหอบผ้าสีกรมท่าไว้อยู่ นัยน์ตาคู่อเมทิสต์ที่หม่นหมองจนไร้แววเหล่มายังผู้ที่อยู่ข้างนอก กองผ้าที่ถูกขยำเป็นก้อนถูกโยนออกมาใส่ร่างสูงที่กำลังงุนงง

               ช่วยเอาไปทิ้งทีสิ..มีมันอยู่ด้วยฉันทำไม่ลงหรอกเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็งราวกับเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ นัยยะหนึ่งคือต้องการหมายถึงผู้ที่มอบให้กับเขา ตัวตนจริง ๆ ที่ไม่ต้องการจะนึกถึง


               ฉันจะใช้ประโยชน์จากนายให้มากที่สุด..ต้องการแบบนั้นไม่ใช่รึไง





               เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะคลอไปพร้อมกับเสียงครางและกรีดกรายปลายเล็บลงบนผ้าปูเตียง ปลายนิ้วเท้าจิกลงระบายความเสียวซ่านที่แล่นผ่านจากต้นขาไล่ไปตามข้อเท้าที่สั่นเกร็ง ความร้อนประทับลงแนบกับผิวเนื้อนุ่มส่วนที่บางไวสัมผัส ไล่เข้ามาจนศีรษะชิดกับกลางลำตัว มือทั้งสองขยุ้มเส้นผมยาวสีทองใช้ไว้เป็นที่ยึดขณะเอวบิดเร่าไปมา ริมฝีปากเผยออกจนหยาดน้ำลายใสเยิ้มที่ข้างมุมปาก


               อะไรกัน..ทำท่ารังเกียจฉันแท้ ๆ แต่กลับความรู้สึกไวจริงนะอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ


แต่กลับถูกทึ้งเส้นผมอย่างแรงจนต้องเงยขึ้น


               หุบปากไปซะ...ฉันไม่ต้องการได้ยินเสียงของนาย..


เร็นเพียงขยับยิ้มไม่ส่งเสียงตอบรับเพราะตนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะรับรู้ตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหน้าว่าแท้จริงแล้วคือเขา ฝ่ามือเอื้อมขึ้นลูบที่ข้างแก้มบนใบหน้าซึ่งถูกโอบิเส้นสีดำคาดปิดตาเอาไว้ ชายหนุ่มเลื่อนตัวขึ้นไปคร่อมไว้เหนือร่างที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น ไล้นิ้วป้งกดไปบนกลีบปากที่ขยับเรียกเอือนเอ่ยถึงชื่อ


               ผม..รักคุณ...คุณคามิว..



ถ้อยคำนั้นถูกประกบปิดไว้ด้วยรสจูบที่ร้อนแรงซึ่งช่วยสุมไฟในกายให้ยิ่งลุกโชน สองแขนเรียวยกขึ้นโอบไว้รอบที่หลังคอเบียดเสียดกายเข้าหา สำนึกทั้งหมดได้ถูกเผาไหม้ไปจนสิ้น จะเหลือไว้ก็เพียงความสุขที่หลอกลวง





-TBC.-