8.09.2560

[AU Fic Utapri] PLEASE (RenMasa, CamusRan) [1]

Fan-fiction Utapri

Title: PLEASE
Pairing: (alpha)Ren x (omega)Masato, (alpha)Camus x (beta)Ranmaru
Genre: Omegaverse, AU
A/N: พล็อตนี้คิดไว้นานเป็นปีกว่าแล้วค่ะ แต่ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที ตอนช่วง ABO เริ่มกลับมาบูมก็รู้สึกเสียวๆว่าพล็อตนี้มันดูซ้ำกับเรื่องอื่นเยอะ.. จะโดนเพ่งเล็งมั้ยวะ แบบแต่งช้าก็งี้คนอื่นชิงตัดหน้าไปหมด เสียใจ.. ไม่ได้เขียนมานานแล้วเหมือนกัน รู้สึกว่ามันสั้น?

Warning: มีการไขว้เล่นชู้เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ..เผื่อใจไว้ได้เลย



[1]




               ขึ้นชื่อว่าสังคมแล้วนั้นย่อมมีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ฐานะทางการเงิน ตำแหน่งในหน้าที่การงาน การเป็นคนรู้จักในแวดวงต่างๆ ความอาวุโส ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องที่ใครก็มิอาจเลือกหรือเปลี่ยนแปลงมันได้ เพราะคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แต่กำเนิด

นอกจากเพศที่ถูกแบ่งตามพันธุกรรมของร่างกายแล้วยังมีอีกขั้นที่แบ่งย่อยลงไปอีกและถูกนำมาใช้ในการตัดสินสถานะทางสังคม แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะมีการเรียกร้องให้มีความเท่าเทียมแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หลงเหลือชุดความคิดแบบเก่าในสังคมแล้ว
หนำซ้ำสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำของฐานะนี้ก็คือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาด้วย

สัญชาตญาณที่ไม่อาจฝืนหรือควบคุมได้


'ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องยอมรับสักนิด'


               ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ สองมือกำมัดจนเส้นเลือดขึ้นปูดขยำเสื้อตน สองขายาวพากายที่ตัวเริ่มรุมเดินหลีกหนีออกห่างจากฝูงคนให้โดยไว กว่าจะพ้นจากสายตาผู้คนชายหนุ่มก็เริ่มรับรู้ว่ามีเวลาอีกไม่นานกว่าเขาจะคุมสติได้ไม่อยู่ ฝ่ามือชื้นเหงื่อล้วงซองยาสีชาออกมาจากกระเป๋า บิดแล้วแกะออกก่อนจะส่งเม็ดแคปซูลเข้าปากแล้วรีบกลืนในทันที คงจะลำบากอยู่บ้างเพราะไม่ได้พกน้ำมาดื่มตาม ส่วนมืออีกข้างก็รีบกดปุ่มหน้าลิฟต์ก่อน 'ใคร' ที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้จะมาเจอเสียก่อน

พลันประตูเปิดออกก็รีบจ้ำเข้าไปทันที กดยังหมายเลขชั้นที่อาศัยอยู่ เอนพิงร่างไปบนผนัง เสยเส้นผมสีน้ำเงินซึ่งชุ่มเหงื่อให้เริดไปขึ้นไป แต้มเสน่ห์บนใต้ตาที่ถูกปลายผมปรกไว้ก็เผยเด่นขึ้นมา นัยน์ตาคู่อเมทิสต์เริ่มจะพร่าเลือน สะท้อนบานประตูที่กำลังเคลื่อนปิด แต่แล้วกลับถูกกดเรียกให้เปิดออก เงาร่างสูงดุ่มๆเข้ามาใกล้ แม้จะไม่ชัดนักแต่ก็พอเห็นแววตาไม่พอใจเท่าไหร่ของคนตรงหน้า

               "จะหลบฉันทำไมเล่า นายก็น่าจะรู้ว่ากลิ่นมันซ่อนไม่ได้" น้ำเสียงที่เอ่ยเองก็ไม่แตกต่าง บ่งบอกถึงความหงุดหงิด

ประตูลิฟต์ถูกเร่งให้ปิดด้วยการกดย้ำหลายๆ ครั้ง ในตอนนี้ห้องเล็กๆ ก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมที่มีเพียง 'อัลฟ่า' และ 'โอเมก้า' ที่สามารถรับรู้ได้ ผู้ที่ยืนฝั่งตรงข้ามพยายามยกหลังมือขึ้นป้องจมูกไว้พลางสูดหายใจเข้าเพียงแผ่วๆ เพราะไม่อยากจะขาดสติเอาเสียตอนนี้

               "กินยาเข้าไปหรอ ดื้อชะมัด..ทั้งที่ทนอาการข้างเคียงไม่ไหวแท้ๆ" เปลี่ยนจากสายตาไม่พอใจมาเป็นตำหนิ ยื้อแย่งซองยาในมือชุ่มเหงื่อนั่นมา ชายหนุ่มผมทองถอนหายใจยาว

เมื่อถูกทักเข้า ก็เริ่มมีอาการเวียนศีรษะและมวนท้องทันที เขาเบือนหน้าหลบยกมือขึ้นกุมปากตนเองไว้เพราะรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา จะเดินถอยออกมาก็เซจวนจะล้ม

               "ฮิจิริคาวะ!" เผลอส่งเสียงด้วยความตกใจแล้วรีบเข้ามาประคองไว้

ดีที่ลิฟต์ขึ้นมายังชั้นที่หมายแล้ว ชายผมยาวสีทองรีบพาร่างคนที่อาการไม่สู้ดีออกมาแล้วตรงไปยังห้องที่มีหมายเลขอย่างคุ้นชิน ไม่ทันจะได้ควานหาคีย์การ์ดมาปลดล็อค ร่างที่หน้าซีดและตัวรุมๆนั่นก็เกาะแขนไว้แน่น ชายหนุ่มชะงักแล้วหันมอง

               "อุ่ก!!..." แรงดันที่ผลักขึ้นมาจากช่องท้องพุ่งพรวดออกมา ความแสบและกลิ่นเศษอาหารคลุ้งในลำคอและโพรงปาก ไหลเปื้อนที่ปลายคาง และเลอะเข้าเต็มๆ ที่เสื้อคนตรงหน้า

จินงูจิ เร็น เบิกตากว้างด้วยความตกใจ จะพูดว่าก็คงไม่ได้ก็อีกคนไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าจะโทษก็คงโทษได้ก็เพราะดื้อกินยานั่นเข้าไป

               "ให้ตายสิ.." แม้จะบ่นพึมพำแต่ก็รีบเปิดประตูแล้วพาร่างเจ้าของห้องเข้าไปด้านใน



               เป็นการรับรู้เหตุการณ์ที่ค่อนข้างลางเลือน นัยน์ตาปรือมองเพดาน เนื้อตัวรุมๆเริ่มจะหนาวสั่นเพราะไม่มีสิ่งปกคลุม สะดุ้งวาบยามถูกผ้าขนหนูสัมผัส ความชื้นหมาดๆ ลูบไล้บนผิวเหมือนกำลังช่วยเช็ดทำความสะอาดอยู่ ปิดตาลงอัตโนมัติยามใบหน้าถูกผ้าชุบน้ำอุ่นซับแก้ม เหล่มองคนตรงหน้าก็เหมือนว่าจะเพิ่งไปล้างตัวมา ไล่สายตาลงมายังท่อนแขนเปลือย ก็คงต้องถอดเสื้อผ้าออกเพราะเลอะเสียขนาดนั้น

แต่อยู่ๆ ร่างกายก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่หายจากอาการพะอืดพะอม แขนที่เจ้าตัวคาดว่าน่าจะไร้เรี่ยวแรงกลับเอื้อมไปคว้าที่ไหล่อีกคน จิกนิ้วลงแล้วออกแรงดึงให้โน้มลงมาหา สีหน้าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้แสดงความแปลกใจแต่อย่างใดกลับเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ร่างที่นอนอยู่บนโซฟา

               "ก็เคยบอกแล้วนี่..ว่าให้ใช้ฉัน" เอ่ยกระซิบเสียงพร่าเบา

ดวงตาจ้องสบกัน สะท้อนแววตาของตนเองในกระจกขาอีกฝ่ายว่ากำลังแสดงความเว้าวอนมากเพียงไหน ท่อนขาขยับหุบเข้าหากันยามรู้สึกดั่งไฟฟ้าแล่นผ่านลงไปยังช่วงล่าง แผ่นอกกระเพื่อมหอบหายใจแรงอย่างควบคุมไม่อยู่


ก่อนสติจะขาดหายไปภาพสุดท้ายคือใบหน้าอีกคนที่คร่อมอยู่เหนือกายตนกำลังโน้มจูบลงมา



               "อืม..." สองคิ้วขมวดมุ่นจวนจะผูกปม เมื่อขยับก็รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวอยู่หน่อยๆ ฝ่ามือควานไปรอบๆ ก็พอเดาจากสัมผัสได้ว่าได้ถูกหิ้วตัวมาอยู่บนเตียงนอนแล้ว ครั้นย้อนนึกถึงความทรงจำก่อนหน้าก็เบิกตาโพลงสะดุ้งตัวลุกขึ้นแทบจะทันที สิ่งแรกที่ทำคือยกมือขึ้นลูบที่หลังต้นคอ เมื่อไม่ได้รู้สึกอะไรที่ผิดไปจากปกติก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

               "หืม.. ฝ่ายที่ต้องโล่งใจน่าจะเป็นฉันมากกว่านะ รู้รึเปล่าว่าจะคุมตัวเองไม่ให้เผลอตัวตามฟีโรโมนนายไปมันยากแค่ไหน" เสียงเอ่ยแซะดังแว่วลอยมาจากอีกมุมห้องนอน

จินงูจิที่ซึ่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งทำสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับอากัปกิริยาของคนที่เพิ่งตื่น ชายหนุ่มไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นยืนสาวเท้าเข้ามาหาพร้อมทำสีหน้ายียวน

               "บอกกี่รอบแล้วว่าให้ใส่อะไรกันไว้ หรือว่านายจงใจเผื่อใครเผลอตัวกันล่ะ?" มุมปากขยับยกขึ้นยิ้มขณะเอ่ยพูด เหล่ตาลงมองสภาพคนที่นั่งเปลือยอยู่

               "ไม่ใช่ซะหน่อย!!" ฮิจิริคาวะเถียงขึ้นมาทันที หันขวับจ้องคนยืนลอยหน้าลอยตากระหยิ่มยิ้ม ก็เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงไม่ต้องการจะให้เจ้าตัวมาเจอ ไม่ใช่ครั้งแรกที่หมอนั่นมักจะพูดจาเสียดสีเขาเช่นนี้

               "เดินออกไปข้างนอกทั้งที่เป็นช่วงฮีท แถมไม่ใส่อะไรปิดไว้ ใครพลาดไปสร้างพันธะด้วยคงจะเป็นภาระน่าดู"

คำพูดเสียดแทงยังคงถูกพ่นออกมาไม่หยุด ขอบตาร้อนผ่าวที่ถูกกล่าวหาเช่นนั้น สองมือกำหมัดด้วยความเหลืออด เขาทนมาพอแล้วกับถ้อยคำดูถูกของอีกฝ่าย สิ่งที่อยู่ใกล้มือมากที่สุดถูกคว้าขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปเต็มแรงเข้าใส่ใบหน้าเจ้าคนหน้าตากะล่อนนั่น

               "!!" ยังดีที่เป็นหมอนใบโต หากเป็นของที่แข็งกว่านี้เจ้าตัวคงจะเสียโฉมไปแล้วเพราะเขวี้ยงเข้าใส่ใบหน้าอย่างจังๆ

               "คนที่ใช้ยาเลื่อนไม่ได้ แถมยังต้องออกงานสังคมบ่อยๆ ไหนจะซื่อบื้อแบบนาย ฉันอุตส่าห์ช่วยเพราะสงสารแท้ๆ" จินงูจิมุ่นคิ้วถอนหายใจอย่างหน่ายๆ

               "ฉันก็ไม่เคยขอให้นายต้องมาสงเคราะห์!!" เขาตวาดลั่นพลางลุกขึ้นไปเตรียมจะง้างหมัดชกใส่หน้านั่นสักที

จินงูจิที่รู้ทันก็รีบหยิบหมอนที่กองบนพื้นขึ้นมารับกำปั้นนั่นไว้ได้ทันท่วงที ฮิจิริคาวะแสดงออกถึงความโกรธอย่างรุนแรงไล่ผลักจนร่างสูงเซไปข้างหลัง

               "ออกไปซะ!" เขาทั้งผลักไสทั้งดันให้อีกคนออกไปจากห้อง อาละวาดทั้งด้วยเสียงและกำลัง

อีกฝ่ายยอมถอยออกไปแต่โดยดี แววตาคู่สีฟ้าสว่างนั่นจ้องมองใบหน้าคนที่กำลังเดือดดาลครู่หนึ่งก่อนจะถูกปิดประตูกระแทกใส่หน้าเสียงดัง

โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่โมโหง่ายหรืออารมณ์ร้อนเลยสักนิด แต่ในตอนนี้เขารู้สึกอยากจะชกหน้าหมอนั้นเสียหลายๆ ที เขาทั้งโกรธ ทั้งแค้นที่โดนพูดจาดูถูก ทั้งอับอายที่ต้องให้อีกฝ่ายที่เจอในสภาพเช่นนั้นหลายรอบ ทั้งรู้สึกด้อยค่าที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเลือกอะไรเลย เขาไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาเป็นแบบนี้

               "โธ่โว้ย!" ฮิจิริคาวะแผดเสียงลั่นแต่นั่นก็ไม่ได้ระบายความอัดอั้นในใจให้ลดลงได้เลย


               ตระกูลฮิจิริคาวะมีอิทธิพลทางธุรกิจมาก และด้วยความเป็นตระกูลที่เก่าแก่จึงยังคงมีแนวคิดที่เป็นสมัยเก่า การที่คนในตระกูลได้รู้ว่าผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าประจำตระกูลรุ่นถัดไป ซึ่งก็คือเขา ฮิจิริคาวะ มาซาโตะ ที่เติบโตขึ้นมาและได้รับการตรวจร่างกายแล้วว่าเป็น 'โอเมก้า' กลุ่มชนส่วนน้อยที่ถูกจัดให้เป็นอันดับล่างสุดของสังคม เพียงเท่านี้ก็เป็นที่อับอายของวงตระกูลแล้ว แม้ว่าจะพยายามทุกวิถีทางในการปกปิดเรื่องนี้ไว้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะต้องออกงานสังคม ถึงแม้กลุ่มที่จะรับรู้กันเองได้ว่าเป็น 'อะไร' จะมีเพียง 'อัลฟ่า' และ 'โอเมก้า' ที่มีจำนวนน้อยก็ตาม แต่เมื่อถึงช่วง 'ติดสัด' เขาเองก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แม้ว่าจะมีการผลิตยาระงับแบบฉุกเฉินหรือยาเลื่อนก็ตาม ตัวเขาที่ได้ลองใช้กลับทนผลข้างเคียงจากยาไม่ได้ ทำให้ต้องจำกัดการใช้ไว้เพียงเฉพาะกรณีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น


และคนที่รับรู้ตัวตนของเขาและเสนอหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือก็ไม่ใช่ใคร.. 'จินงูจิ เร็น' บุคคลที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็ก และได้มารับรู้ว่าเป็นลูกชายของตระกูลจินงูจิที่เป็นคู่แข่งในด้านธุรกิจกัน


สำหรับเขาแล้วไม่เคยรู้สึกว่าการยื่นมือมาช่วยของหมอนั่นเป็นความหวังดี..

ก็แค่อยากจะได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าและได้เห็นเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เท่านั้น





               เสียงหาววอดดังมาจากบุคคลผมเผ้ายุ่งเหยิง เจ้าตัวไม่คิดจะยกมือมาปิดปากแต่อย่างใด ยืดแขนบิดขี้เกียจไปมาขณะนั่งอยู่บนเตียงที่สภาพเละไม่ต่างจากผมสีเงินของตน ดวงตาเหล่มองร่างที่นอนหลับสนิทซึ่งเอาผ้าคลุมปิดหน้าไว้ เห็นทีไรก็ชวนสยองราวกับคนที่กำลังซ้อมตาย

ขาที่นั่งไขว้ขัดสมาธิเขี่ยใต้ผืนผ้าห่มเบาๆ มีแต่เสียงฮึดฮัดตอบกลับมาแทน เมื่อเล็งเห็นว่าคงปลุกลำบากแถมไม่อยากจะชวนทะเลาะแต่เช้า ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเตียงคว้ากางเกงที่กองบนพื้นขึ้นมาสวมก่อนจะออกไปจากห้องนอน

ตรงปรี่ไปยังส่วนครัว เสียงท้องร้องโครกครากดังแต่ก็ไม่คิดจะอาย เพราะในที่นี้ก็อยู่กันสองคน อีกคนก็ยังหลับอยู่ หยิบกระทะตั้งเตาไฟวางก้อนเนยลงไปให้รอละลาย ก่อนจะตีไข่ไก่ใส่ลงไป

               "ทำไมไม่ปลุกข้า?" ส่งเสียงเอ่ยทักดังมาพร้อมกับคว้ากอดเอวจากด้านหลัง

เหมือนจะเป็นเรื่องปกติ เพราะเจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร

               "แกนอนเหมือนตาย จะเสียเวลาปลุกทำไมหา?" ใช้ข้อศอกกระทุ้งไปข้างหลังเบาๆ ให้คลายอ้อมแขนออกเพราะทำอาหารได้ไม่ถนัด

               "กล้าพูด เจ้าต่างหากที่หลับเป็นตาย ข้าทำอะไรก็ไม่เห็นจะตื่น" ยังคงเถียงกลับเหมือนไม่อยากยอมแพ้

               "ถ้าแกพูดมากไม่เลิกฉันจะเทแป้งแพนเค้กทิ้ง" ไม่ว่าเปล่าแต่คว้าเหยือกแก้วที่ใส่ครีมแป้งเหลวที่ผสมไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมาประกอบการขู่ด้วย

ชายผมสีบลอนซ์เห็นดังนั้นจึงยอมถอยทัพแล้วกลับไปนั่งรอที่โต๊ะเงียบๆ
รอไม่นานนักอาหารมื้อเช้าก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ โดยไม่ลืมเหยือกใส่น้ำเชื่อมที่ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ จานแพนเค้ก

               "หึ..มีความเป็นแม่ศรีเรือนที่ผิดคาดเสียจริง" ชายสัญชาติตะวันตกเอ่ยหยอกขณะเทราดน้ำเชื่อมลงบนแป้งแพนเค้กจนท่วม

               "จะใครก็ทำอาหารได้ทั้งนั้น หุบปากรีบๆกินแล้วก็กลับไปได้แล้ว" เอ่ยไล่แล้วตักอาหารยัดเข้าปากเคี้ยวทันที

ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะลงมือกินมื้อเช้าต่อ ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการอาหารที่อยู่บนโต๊ะให้หมด เกลี้ยงจนเหลือแค่จานและมีดส้อม

               "ทำไมถึงได้ชอบไล่ข้านักคุโรซากิ?" เจ้าตัวเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่อีกคนกำลังเก็บจานไปล้างทำความสะอาด

คุโรซากิเปิดน้ำในอ่างล้างผ่านจานชามก่อนจะตอบกลับมา

               "แกอยู่แล้วได้อะไรล่ะ?" แต่ก็ไม่คล้ายจะเป็นคำตอบ เหมือนเป็นการถามกลับเสียมากกว่า

               "เจ้ายังไม่เลิกประชดข้าแบบนี้อีกรึ?" เขาเริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจกับถ้อยคำที่ได้ยิน

               "หรือไม่จริงล่ะ สักวันแกก็ต้องไปอยู่ดี ฉันมันพวก 'คนธรรมดา' " คุโรซากิจงใจเน้นคำว่าคนธรรมดา มือหยิบฟองน้ำขึ้นมากดน้ำยาล้างจานใส่

คนฟังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหา

               "แล้วทำไม? ข้าบอกแล้วว่าชีวิตข้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกเอง" ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่ข้างหลังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ก๊อกน้ำถูกปิดลง คนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานวางสิ่งของในมือก่อนจะกันมาประจันหน้า

               "งั้นเรอะ แต่ 'โชคชะตา' คงไม่ปล่อยให้แกเลือกหรอก คามิว..แกก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ใช่ 'คู่' ของแก มัวแต่มาทำอะไรไร้สาระกันแบบนี้เสียเวลาซะเปล่า" ไม่ใช่ครั้งแรกที่พูดกันเรื่องนี้ แต่เพราะกลัวบรรยากาศจะเสียจึงไม่ค่อยได้ต่อความกันให้ยืดยาวนัก


คามิวยังคงจ้องด้วยแววตาที่จริงจังก่อนจะเอ่ยพูดย้ำประโยคที่ตนเฝ้าพูดบอกเรื่อยมากับอีกคน


               "ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็น คู่ของข้า ข้าจะเป็นคนเลือกเอง"


คุโรซากิจ้องกลับเข้าไปในนัยน์ตาที่ฉายแววจริงจังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยตอบกลับไป



               "เหอะ..ฉันจะรอดูก็แล้วกัน"


-TBC.-


คงนานเหมือนกัน.. คาดเดาไม่ได้เหมือนกันค่ะว่าตอนต่อนี่นานแค่ไหน หรือใครสนใจเอาไปต่อยอดบอกได้นะคะ แค่ห้ามเปลี่ยนคู่เปลี่ยนตำแหน่งเด็ดขาดนะคะ 555