Note : ย้ำอีกครั้งแฟนฟิคนี้อิงธีมจาก Joker trap และ 3P
Ch.3
ผ้าห่มผืนหนาถูกใช้ห่อตัวคนที่นอนขดจนกลายเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียง
แม้แสงแดดจะส่องบ่งบอกถึงยามสายร่างนั่นก็ยังคงอยู่นิ่งไม่คิดที่จะขยับกาย
ไม่ใช่เพราะยังคงหลับอยู่เพราะนัยต์ตาคู่อเมทิสต์นั้นยังลืมขึ้นมองเหม่อไปยังกำแพงโล่ง
เขาไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ตนเองจ้องกำแพงเปล่าอยู่แบบนี้
เขาไม่รู้ว่าหมอนั่นลุกออกไปตั้งแต่ตอนไหน
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขาคือภาพของเหตุการณ์เมื่อคืน
เด่นชัดทุกรายละเอียด จำจดทุกสิ่งได้เป็นอย่างดี
ดีเกินไปจนตัวเขาเองนึกอยากจะให้มันเป็นเพียงความฝัน
แต่ทั้งความล้า ความปวดเมื่อย
หรือแม้กระทั่ง..ร่องรอยบนผิวพวกนี้..เป็นสิ่งที่ย้ำว่ามันคือเรื่องจริง
ครั้งนี้...กล่าวโทษใครไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะหมอนั่น..ไม่ได้บังคับขืนใจอะไรเขา
มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายตอบรับ..และยอมใช้หมอนั่นเป็นตัวแทน..
ยิ่งคิดถึงความรู้สึกผิดก็ยิ่งโถมเข้าใส่
ใบหน้าขาวชาจนไร้ความรู้สึกไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ปะทะผิวหน้า
หรือเพราะความรู้สึกอับอายต่อเรื่องเมื่อคืนกันแน่ ขอบตาแดงร้อนผ่าวรื้นด้วยหยาดน้ำตาใส
ริมฝีปากซีดเม้มแน่นฝืนกลั้นไม่ให้สะอื้นร้องออกมา
เสียงบานประตูถูกแง้มเปิดตามมาด้วยเสียงของฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาข้างในห้อง
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ร่างของชายหนุ่มหันไปมอง เงายาวทอดผ่านมาบนเตียงนอนทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมาหยุดยืนจ้องเขาอยู่
ฮิจิริคาวะนอนนิ่งอยู่เช่นนั้นและคิดว่าผู้มาเยือนคงจะเป็นจินงูจิเลยไม่ได้สนใจอะไร สองมือดึงผ้าขึ้นมาเพื่อคลุมปิดหน้าโผล่พ้นออกมาเพียงเส้นผมสีน้ำเงิน
เขาไม่ต้องการให้ใครมาเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่ในตอนนี้
“หึ..”
โทนเสียงทุ้มนั่นไม่ใช่เสียงของจินงูจิ
ฮิจิริคาวะรีบพลิกตัวหันไปหาเจ้าของเสียง ดวงตาเบิกกว้างยามที่เห็นใบหน้าของอีกคน
คุณคามิว.. เขานิ่งอึ้งในทันทีแม้กระทั่งลมหายใจก็ต้องหยุดตามไปด้วย
บุคคลที่เขาไม่พร้อมที่จะเจอหน้ามากที่สุดกำลังยืนจ้องมองมาทางเขาอยู่ในตอนนี้
ชายเรือนผมสีบลอนซ์หรี่ตาจ้องมาทางเขาพร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่น
สีหน้าของฮิจิริคาวะสลดลงในทันทีแล้วรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาบังหน้าของตนอีกรอบเพื่อหลบหน้า
“ยังอยู่อีกรึ?”
หนุ่มร่างโปร่งเอ่ยขึ้น
น้ำเสียงนั่นบอกไม่ได้ว่ากำลังเย้ยหยันหรือเป็นเสียงแบบเฉพาะตัว
ฮิจิริคาวะกลืนน้ำลายเหนียวลงสู่ลำคอที่แห้งผาก
เคลื่อนตาหลบลงล่างขยับปากซีดเอ่ยตอบ
“ถ้าหนีออกไปได้..ผมก็คงไม่ทนอยู่ที่นี่หรอกครับ”
เค้นออกมาได้เพียงเสียงที่แผ่วเบา
“ถ้าเจ้าตอบในสิ่งที่ข้าต้องการก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แต่แรกหรอก”
เอ่ยย้ำถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
สายตาคู่ที่จับจ้องมาไม่ใช่เพียงสีเท่านั้นที่เหมือนน้ำแข็ง..แต่ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกถึงความเยือกเย็นไปด้วยได้
“ผมตอบไปแล้วครับ”
กระนั้นแล้วเขาก็ยังคงยืนกรานในคำตอบเดิม
“ว่าไม่รู้น่ะรึ?
หึ..นั่นไม่ใช่คำตอบที่ข้าต้องการ” คามิวยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อคำกล่าวนั่น
“แต่นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมจะให้ได้ครับ
ถ้าจะให้พูดอย่างอื่น..มันคงจะเป็น‘การหลอกลวง’”
เขาจงใจที่จะเน้นในคำสุดท้ายซึ่งสื่อถึงอีกฝ่าย
คามิวที่ได้ยินเหมือนจะนิ่งไปชั่วครู่แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็นได้ชัดนัก
“รู้แบบนี้แล้วจะช่วยปล่อยผมออกไปได้หรือเปล่าครับ?”
ฮิจิริคาวะใช้แขนค้ำยันร่างให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เขยิบตัวให้หันไปหาอีกคน ผืนผ้าห่มที่คลุมร่างเลื่อนลงมากองปิดอยู่เฉพาะที่หน้าขา
อความารีนเหลือบจ้องเห็นรอยแดงจ้ำที่ตามผิวขาวถึงกับต้องชะงักไป
ฮิจิริคาวะเห็นท่าทีนั่นก็รู้สึกแปลกใจจนจับสายตาที่ต้องมายังลำตัวของตนได้ก็ทำให้เริ่มรู้สึกตัว
ชายหนุ่มก้มลงมองไปตามเนื้อตัวของตนก็พบว่าเต็มไปด้วยร่องรอยทั่วร่างจึงรีบยกผ้าขึ้นมาคลุมตัวแทบไม่ทัน
“เจ้านั่น..”
คามิวส่งเสียงพึมพำก่อนที่จะพยายามเบนสายตาหลบพร้อมทั้งกัดฟันเล็กน้อย
ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมระห่างพวกเราทั้งสองคน
ฮิจิริคาวะช้อนสายตาขึ้นจ้องอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วตัดสินใจเอ่ยถาม
“คุณมาที่นี่..วันนี้
เพื่อจะมาผลัดกับจินงูจิสินะครับ?” เสียงแผ่วเบาจนเอ่ยขาดช่วง ใจจริงก็รู้อยู่แล้วว่าการที่คนตรงหน้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการมาหาเขาแต่อย่างใด
แต่เพื่อที่จะมาเฝ้าไม่ให้‘นักโทษ’เช่นเขาหนีไปไหนได้ต่างหาก
ทว่าคนซื่อที่เอ่ยประโยคนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันสามารถตีความได้อีกแง่เช่นกัน..
“นี่เจ้า!
อย่าได้บังอาจเอาข้าไปเทียบกับเจ้าไพร่นั่น
เรื่องพรรค์นั้นน่ะ..ข้า...-” คนที่ตีความหมายไปอีกทางเผลอหลุดขึ้นเสียงใส่อย่างลืมตัว
“?..แปลว่าคุณจะปล่อยผมไปหรือครับ!”
คนซื่อยิ่งตีความต่อไปกันใหญ่
แววตาคู่ที่ฉายแววหม่นเมื่อครู่มีประกายความหวังขึ้นมา
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?”
คามิวขมวดคิ้วเป็นปมจ้องอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณบอกว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อแลกเวรเฝ้าผม”
ฮิจิริคาวะเริ่มจะรู้สึกว่าประกายของความหวังในดวงตาของตนเริ่มจะเลือนลางลงเมื่อเห็นสีหน้าตึงของอีกฝ่าย
คามิวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจใหม่อีกรอบ
“...เจ้าหมายถึงเรื่องผลัดเวรอยู่หรอกรึ?”
เขากะพริบตาปริบมองอย่างสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ?
“ข้ามาเพื่อดูให้แน่ว่าเจ้ายังไม่ได้หนีไปไหนและต้องมาคอยเฝ้าต่างหาก
ฉะนั้นเรื่องปล่อยตัวอะไรนั่นเลิกคิดไปเสีย”
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็สลดลง
“ทำสีหน้าเช่นนั้น
ผิดหวังรึไงที่ข้าไม่ใช่จินงูจิ?” ถามเพียงส่งๆไม่ได้คาดหวังคำตอบเท่าไรนัก
“ไม่ใช่หรอกครับ..”
ชายหนุ่มพึมพำตอบกลับไปแต่เว้นช่วงไว้เล็กน้อย
“ไม่ว่าจะเป็นใคร..ก็ไม่ได้น่าดีใจกว่ากันเลยสักนิด” หลบสายตาเศร้านั่นลงพลางเม้มปากแน่น
ใช่แล้ว..หากให้เลือกระหว่างจินงูจิกับคุณคามิว..ขอเลือกที่จะไม่เจอหน้าเลยสักคนคงทำให้เขารู้สึกแย่น้อยกว่าที่เป็นอยู่
หนึ่งคือผู้ที่เห็นเขาเป็นแค่ของเล่นคอยปั่นหัว
ส่วนอีกคนที่เขาเคยคิดว่ารู้จักกันดีซึ่งกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มีแต่คำว่าการหลอกลวงหลงเหลืออยู่ให้เจ็บช้ำ
ความอึมครึมเริ่มเข้ามาปกคลุมอีกครา
เงียบเชียบเสียจนทำให้เขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัว เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าใจของตนกำลังเต้นเร็วมากถึงขนาดนี้
ใช่ว่าเป็นความรู้สึกตื้นตันและยินดีที่ได้พบหน้าอีกฝ่าย หากแท้จริงแล้วหัวใจดวงนี้เต้นแรงเสียจนทำให้รู้สึกเจ็บในทรวงอก
ฮิจิริคาวะแอบจิกนิ้วลงขยุ้มผ้าปูเตียงระบายความอึดอัดที่กำลังก่อตัว
“เจ้าควรรีบไปล้างเนื้อล้างตัวเสีย”
เป็นเสียงทุ้มของคามิวที่เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
ไม่ใช่เฉพาะคนบนเตียงหรอกที่รู้สึกได้ถึงควมอึดอัดที่คุกครุ่นอยู่นี้
ชายผมยาวที่เริ่มรำคาญบรรยากาศพูดเพียงเพื่อหาเรื่องเปลี่ยนไปยังประเด็นอื่นแทน
เขาพยักหน้ารับคำพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างเปลือยแล้วลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อสองขาก้าวลงยืนบนพื้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าร่างกายนี้อ่อนล้าเกินจะประคองร่างตนให้ยืนไหวได้
แม้จะขยับเคลื่อนไหวได้ไม่ราบลื่นนักก็ต้องจำฝืนทนเดินให้ดูเหมือนเป็นปกติดี
ทว่าผืนผ้าห่มนั้นไม่ได้ยาวมากพอที่จะปกปิดได้ทั้งหมด
นัยน์ตาที่จ้องตามหลังของผู้ที่เดินผ่านหน้าตนไปนั่นหรี่ลงมองรอยบนต้นขาอย่างชั่งใจ ยิ่งได้เห็นอากัปกิริยาการเดินที่คล้ายจะเอนล้มลงได้ทุกเมื่อนั้นก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจ
กะเผลกเดินอย่างเชื่องช้าจนได้เห็นของเหลวสีขุ่นไหลมาตามเรียวขาเพียงจินตนการถึงต้นทางที่มาแล้วก็ทำให้หมดซึ่งความอดทน
คามิวที่ทนเห็นสภาพนั้นของฮิจิริคาวะไม่ไหวจึงรีบเข้าไปกระชากผ้าห่มออกก่อนจะลากเข้าไปในห้องน้ำ
“ค..คุณคามิว!?
จะทำอะไรน่ะครับ!!”
เขาเบิกตากว้างร้องเสียงหลง
ไม่ทันจะได้คำตอบก็ถูกพลิกตัวให้หันหน้าเข้าหากำแพง
ฝักบัวถูกหมุนเปิดแล้วหันมาฉีดน้ำใส่
สายน้ำเย็นปะทะผิวกายจนเจ้าตัวต้องสะดุ้ง ฮิจิริคาวะพยายามพูดห้ามแต่อีกคนไม่ฟังแถมยังเลื่อนลงมาไล่ฉีดที่ต้นขาเสียอีก
“!!” ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดเพราะรู้สึกอับอาย
ขาทั้งสองข้างรีบหุบเข้าหากันเพราะไม่อยากให้เห็นคราบที่แห้งกรังนั่น
“ผ-ผมจัดการเองได้ครับ”
เขาพยายามบอกและดึงสายของฝักบัวมา
ทั้งร่างเริ่มจะสั่นน้อยๆน่าจะเป็นเพราะความเย็นของน้ำ
“ชักช้า”
คามิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังไม่พอใจเท่าไหร่นักก่อนจะเลื่อนมือลงไปเพื่อจับขาทั้งสองของฮิจิริคาวะให้แยกออกจากกัน
“คุณคามิว...พอเถอะนะครับ..”
นอกจากใบหน้าที่จะแดงกว่าเก่าแล้วเขาก็รู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มคลอขึ้นมา
สภาพแบบนี้ไม่ต้องการให้ใครได้เห็นทั้งนั้น..ยิ่งเป็นคนๆนี้แล้วล่ะก็..
“อะ..!” ร่างต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเนื่องจากสัมผัสที่แตะลงบนผิวกาย
ปลายนิ้วยาวเลื่อนมาตามซอกขาและพยายามแทรกเข้ามาเพื่อกวาดคราบที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายใน
ยามที่ไล่วนร่างก็รู้สึกอ่อนยวบลงทันที ไม่แน่ใจว่าตนหูแว่วไปเองหรือไม่แน่เหมือนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากอีกฝ่าย
“พ..พอเถอะครับ ผม..จัดการเองได้” เสียงเริ่มสั่นนิดๆ
ฝ่ามือขาวเลื่อนลงมาเพื่อบังช่องทางข้างหลังไว้
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมผละมือออกไป
ฮิจิริคาวะรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ เขารับฝักบัวมาถือไว้แล้วรอให้อีกคนออกไปข้างนอกจะได้จัดการต่อให้เสร็จเสียที
แต่ว่าคามิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“?..ไม่ออกไปรอ..ข้างนอกหรือครับ?”
เหงื่อเริ่มซึมขึ้นมาตามไรผม
อีกฝ่ายยังคงจ้องเขาไม่วางตา
“ทำไมงั้นรึ?
ข้าจะต้องเฝ้าเจ้าตลอดทุกเวลา รีบเข้าเสียเวลา” คามิวเอ่ยแล้วยกแขนขึ้นกอดอก
“...ย-..อย่างน้อยก็ช่วย..หันหลังไป..จะได้หรือเปล่าครับ”
เรื่องเปลือยกายไม่ใช่ต้นเหตุที่ต้องเคอะเขิน
แต่เป็นเพราะสิ่งที่ตนจะต้องจัดการนั่นจะให้คนอื่นมายืนมองก็ใช่ที่..
“หึ..เรื่องมากเสียจริง”
แม้จะเอ่ยบ่นแต่ชายหนุ่มก็ยอมหันไปอีกทางตามที่บอก
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วฮิจิริคาวะก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลงมือทำความสะอาดร่างกายตัวเองต่อ
แต่ก่อนหน้านั้นเขาเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิน้ำให้อุ่นขึ้นแล้วค่อยมาฉีดล้างที่ต้นขาเพื่อชำระคราบออกไป
แต่ไม่ว่าจะล้างออกไปเท่าไหร่..ที่ค้างอยู่ข้างในก็ยังคงไหลย้อนออกมาเลอะอีกอยู่ดี
ยืนลังเลอยู่พักใหญ่แล้วสูดหายใจลึก นิ้วเรียวค่อยๆดันเข้าไปตามแบบที่อีกคนทำให้
ริมฝีปากเม้มแน่นแต่ก็ยังหลุดเล็ดลอดเสียงประหลาดออกมาได้อยู่ดี
“อึก..”
หลับตาลงแน่นแล้วเพิ่มจำนวนเป็นสองนิ้วก่อนจะแยกปลายนิ้วออกจากกันให้ของเหลวนั่นไหลออกมาได้ง่ายขึ้น
“ฮิจิริคาวะ..เจ้า...รีบๆจัดการเสีย!
ชักช้าจริง!!”
ผู้ที่ยืนรอเริ่มจะรู้สึกกระสับส่ายจนต้องเอ่ยเร่ง
“ค..ครับ!”
เขาสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงดุนั่น
พอเร่งมือเพื่อที่จะได้เสร็จไวขึ้นแล้วข้างในกลับรู้สึกแปลกๆขึ้นมา
ใบหน้าเริ่มที่จะขึ้นสีแดงจางก่อนจะหลุดเสียงครางออกมา
“อา..ส..เสร็จแล้วครับ”
เขาผละมือออกมาก่อนจะเอนพิงผนังห้องน้ำหอบอย่างหมดแรง
ไม่รู้ว่าเพราะร่างกายนี้เริ่มอ่อนแรงลงหรือเปล่าจนทำให้เขาตาพร่ามัวเห็นใบหน้าของคุณคามิวมีสีแดง
..คงจะเบลอไปเองจริงๆเพราะคิ้วคู่นั้นยังคงขมวดบึ้งตึงอยู่เช่นเดิม
เมื่อพอหยุดหอบแล้วเขาก็หันซ้ายหันขวาเพื่อที่จะมองหาผ้าเช็ดตัว
แต่เหมือนจะไม่มีทิ้งไว้ให้เสียนี่
“เอ่อ..จะให้ผมออกไปทั้งๆแบบนี้เลยหรือครับ”
เขาเอ่ยพูดด้วยเสียงอ่อนเพราะกลัวจะถูกดุกลับมา
และก็เกรงว่าหากออกไปทั้งแบบนี้ตนจะทำพื้นห้องเปียกได้
“แล้วทำไมเจ้าถึงออกไปไม่ได้กัน?”
ถามคล้ายจะรำคาญ
“ก็...ไม่มีผ้าขนหนู..น่ะสิครับ”
แถมเสื้อผ้าตัวเดิมก็เลอะไปด้วย..อะไรก็ตามที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน
“ยุ่งยากเสียจริง”
คามิวบ่นก่อนที่จะเดินออกไป
ในทีแรกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะรำคาญเขาเลยรีบเดินออกไปก่อนเพราะไม่อยากทนรอแล้ว
แต่ทว่าเจ้าตัวกลับเดินกลับเข้ามาพร้อมกับโยนเสื้อคลุมมาทางเขา
“?” เขารีบรับไว้ก่อนจะเงยมองทำสีหน้างงใส่
“เจ้าสวมนี่ไปก่อนก็แล้วกัน”
คามิวเอ่ยแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำอีกครั้ง
“ข-ขอบคุณครับ”
ฮิจิริคาวะรีบสวมเสื้อคลุมที่ได้รับมาทันทีแล้วเดินตามออกไป
แต่เสื้อนี่ก็ไม่ได้ช่วยซับน้ำบนร่างได้มากนักเพียงช่วยปกปิดร่างกายส่วนบนและเลยลงมาคลุมสะโพกเล็กน้อย
ตลอดทางที่เดินก็เปียกเป็นรอยเท้าของเขา
ฮิจิริคาวะเดินตามหลังของอีกคนไปเรื่อยๆแต่แล้วคนตรงหน้ากลับหยุดเดินอย่างกระทันหันจนทำให้เขาชนเข้าเต็มๆ
“!!” เขาเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“นี่เจ้า!”
คามิวหันกลับมาทำเสียงดุใส่
“ข..ขอโทษครับ!”
และนั่นก็ทำให้เขาตกใจจนพูดขอโทษแล้วรีบโค้งแบบลืมตัว
“หึ..” คามิวส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงไม่ค่อยพอใจ
ร่างโปร่งเดินตรงไปนั่งบนโซฟาปล่อยให้ชายหนุ่มตัวชื้นยืนอยู่ที่เดิม
ฮิจิริคาวะหันหลังกลับไปมองตามทางที่เดินผ่านก็พบว่าเปียกไปด้วยน้ำหยดที่มาจากตัวจึงเดินไปหาผ้ามาเช็ด
นัยน์ตาสีน้ำแข็งเสมองไปทางอื่นทำทีเป็นไม่สนใจทั้งที่ความจริงแล้วข้างในใจตนเองตอนนี้เต็มไปความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนสับสน
แต่พอฮิจิริคาวะเดินกลับมาก็ต้องเผลอเหล่มองตาม ร่างของชายหนุ่มในเสื้อคลุมย่อตัวลงไล่เช็ดพื้นในท่าคลาน
ยามเอื้อมจนสุดแขนชายเสื้อคลุมก็เลิกขึ้นจนสามารถมองลอดผ่านได้ คามิวรีบเบนสายตาหลบก่อนจะกุมขมับตัวเอง
พยายามที่จะตั้งสติตนไม่ให้คิดอะไรประหลาดไปมากกว่านี้
สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะลุกไปชงชาสักถ้วยเผื่อจะช่วยหยุดอารมณ์ฟุ้งซ่านได้บ้าง
“?” ฮิจิริคาวะมองตามผู้ที่เดินผ่านตนไปทางครัว
จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้ทานอะไรเป็นมื้อเช้าเลย
ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วเสียด้วย
พอจะเดินเข้าไปด้านในอีกฝ่ายก็เดินส่วนออกมาเสียก่อน ชายหนุ่มเหลือบมองในมือทั้งสองก็เห็นว่าคุณคามิวนั้นถือแก้วน้ำร้อนใส่ถุงชามาพร้อมกับโหลน้ำตาลก้อน
ในใจวูบขึ้นมาเล็กน้อยเพราะนั่นทำให้เขาหวนนึกไปถึงช่วงที่เคยอยู่ในออฟฟิศด้วยกัน
นัยน์ตาฉายแววเศร้าลงเขาไม่อยากจะนึกถึงเรื่องในอดีตจึงเดินหลบเข้าไปนั่งคนเดียวในครัวแทน
เสียงน้ำตาลก้อนถูกหย่อนลงในถ้วยดังแว่วมาให้ได้ยินจนต้องเผลอนับตาม
จำนวนนั้นไม่ใช่แค่สองหรือสาม..แต่เป็นสิบซึ่งน่าจะหวานมากจนต้องสำลักหากดื่มไปอย่างไม่รู้ตัวในครั้งแรก
และตามมาด้วยเสียงช้อนคนที่ขูดน้ำตาลก้อนที่มากพอจะทำให้ชาล้นถ้วย
ริมฝีปากขยับยิ้มบางยามที่นั่งฟังเสียงนั่น
“อย่างน้อย..นี่ก็ยังเป็นตัวตนจริงๆของคุณสินะ” เขาพึมพำเบาๆ
มัวแต่นั่งคิดจนลืมหิวไปเสียสนิท
ขณะที่จะลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมอาหารนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะบอกเจ้าของห้องก่อนที่จะลงมือทำอาหาร
แม้ว่าวันก่อนเขาจะทำไปแล้วครั้งนึงก็เถอะ
ฮิจิริคาวะเดินออกจากจากครัวแล้วตรงไปยังโซฟา
อีกฝ่ายเงยขึ้นมามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะยกชาขึ้นดื่มต่อเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะเดินมาหาหรือจะทำอะไร
“เอ่อ..” แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยถามกลับเป็นฝ่ายที่ต้องถูกถามเสียเอง
“เจ้านั่น...
ทุกครั้งเลยรึ” คนถามไม่ได้หันมอง
“??” เขาไม่เข้าใจในคำถามนั่นเลยได้แต่ทำสีหน้างงกลับไป
คามิวถอนหายใจยาวแล้ววางถ้วยชาลง
ดวงตาตวัดมาจ้องอย่างจริงจังจนเขาต้องเผลอสะดุ้ง
“เจ้าจินงูจิ
ทำเรื่องพรรค์นั้นกับเจ้าตลอดเวลาที่อยู่เลยอย่างนั้นรึ?” สุดท้ายก็เอ่ยถามด้วยคำถามแบบตรงๆเพื่อที่จะให้ได้เข้าใจ
แต่แล้วมันก็ออกจะตรงเกินไปหน่อยจนคนได้ฟังต้องหน้าขึ้นสี
ฮิจิริคาวะส่งเสียงอึกอักเหมือนไม่กล้าจะพูดตอบ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงรอฟังก็ยอมที่จะเปิดปากออกมา
“ก็..” พอนึกถึงคืนก่อนแล้วก็ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
แม้จินงูจิจะรับปากว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้
แต่คำสัญญาจากคนกะล่อนเช่นนั้นใช่ว่าจะเชื่อถือได้ไปตลอด
สักวัน..หากคุณคามิวรู้เรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็..
ริมฝีปากเม้มแน่นแล้วเลือกที่จะเงียบอยู่แบบนั้น
“หึ..นิสัยน่ารังเกียจของเจ้านั่น” คามิวบ่นถึงจินงูจิอย่างไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก
คำว่าน่ารังเกียจกระทบใจ แววตาอเมทิสต์สั่นไหวเคลื่อนหลบตาลง
“ถ้าเป็น..คุณคามิว..ล่ะก็..” เขาพูดเสียงเบาแล้วเว้นช่วงไว้
ผู้ถูกกล่าวถึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“คงจะมีเหตุผลที่ต้องทำ..ส่วนจินงูจิ..ก็แค่เพราะอยากจะปั่นหัวผมเล่นเท่านั้น” เอ่ยออกมาพลางรู้สึกคับแค้นใจที่เผลอหลงกลของหมอนั่น
สองมือกำชายเสื้อแน่น
“แต่ถึงจะคาดคั้นยังไง
ผมก็ให้ได้แต่คำตอบเดิมนั่นแหละครับ..ไม่ว่าคุณจะลงมือทำร้ายทรมานผมด้วยวิธีไหนก็เถอะ” เขาเงยหน้าขึ้นจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาที่แสดงถึงความแน่วแน่ในสิ่งที่พูด
ทว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบทำเหมือนไม่ได้สนใจจะฟัง
“จะลองพิสูจน์ดูก็ได้นะครับ
ยังมีวิธีอื่น..ที่คุณคามิวยังไม่ได้ลองใช่หรือเปล่าล่ะครับ” น้ำเสียงสั่นยามนึกถึงเสียงฟาดแส้หนังในคืนแรกที่ถูกพาตัวมา
“เจ้ากำลังท้าทายข้าอยู่อย่างนั้นรึ?” ตวัดสายตาจ้องจนทำให้ต้องรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ
“ป-..เปล่าครับ
ผม..แค่อยากจะพิสูจน์ให้พวกคุณยอมเชื่อสักที” ฮิจิริคาวะเอ่ยแล้วหลับตาลงแน่น
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำให้ร่างสั่นด้วยความหวาดกลัว
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดจะหลบหรืออยู่เฉยๆอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกถึงร่างที่มายืนอยู่ตรงหน้าและเตรียมใจที่จะรับความเจ็บปวดจากการถูกทำร้าย
เพราะอย่างน้อย..จะได้ตัดใจจากอีกฝ่ายได้เสียที
เสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกแหวกออกเผยไหล่ทั้งสองข้าง
แม้จะปิดตาไว้แต่ใบหน้าติดสีแดงจางก็เบือนหลบไปเองด้วยความเขินอาย
รอยพวกนั้นยังคงเด่นชัดและสร้างความไม่พอใจขึ้นมาให้แก่ผู้ที่จดจ้องอยู่ มือคู่ที่กำลังจะร่นเสื้อลงต้องชะงักหยุด
“...จะไม่ลงมือหรือครับ..?” เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเงียบไปจึงถามขึ้น
คามิวขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ผละมืออกจากร่างของฮิจิริคาวะแล้วเดินห่างออกมา ชายหนุ่มมองนั้นเงยหน้าที่ก้มหลบขึ้นมองอย่างสงสัยทว่าอีกฝ่ายนั้นกลับเดินหลบไปทางอื่นแทน
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วเขาจึงรีบจัดเสื้อคลุมสวมให้เรียบร้อยตามเดิม
“กับจินงูจิ..เจ้าก็ไม่ปฏิเสธเช่นนี้หรอกรึ?” แว่วดังมาด้วยน้ำเสียงคล้ายโกรธ..
ได้ยินแบบนั้นแล้วสีหน้าของฮิจิริคาวะก็ต้องสลดลงอีกครั้ง
รังเกียจ..สินะ
ริมฝีปากขยับยิ้มเหยียดให้กับตัวเอง
เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั่น
“ทำไมเจ้าถึงไม่ตอบข้า?” ยิ่งเห็นอาการเงียบนั่นแล้วก็ยิ่งต้องการที่จะได้รับคำตอบจากปาก
“คงจะน่ารังเกียจมากสินะครับ..สำหรับคุณคามิว” ฮิจิริคาวะเอ่ยเบาๆคล้ายจะเป็นการย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า
ยังไงเสียนั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจนักสำหรับผู้ที่รอฟัง
“เจ้าตอบไม่ตรงคำถามข้า”
คามิวยังคงพยายามที่จะเค้นคำตอบให้ได้ถึงแม้ว่าจากอาการของฮิจิริคาวะนั่นจะฟ้องออกมาหมดแล้วก็ตามที
“ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วผมขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
ใช่..เขาต้องการที่จะเลี่ยงตอบคำถามนั่น
และเขาเองก็ไม่อยากจะยืนอยู่ตรงนี้นานกว่านี้อีกแล้ว
ไม่อยากที่จะต้องทนได้ยินเสียงและเห็นสายตาเหยียดหยามมากไปกว่านี้
สองมือกำชับเสื้อคลุมแน่นก้าวขาสั่นๆเดินไปทางห้องนอน บานประตูถูกดันเปิดเข้าไป
ยังไม่ทันจะได้ปิดแผ่นหลังกว้างก็รีบเข้ามาดันไว้เสียก่อน ฮิจิริคาวะมองผู้ที่ยืนขวางประตูด้วยความรู้สึกสับสน
ทำไมคุณคามิวจะต้องคาดคั้นเรื่องนี้กับเขามากถึงขนาดนี้กัน?
“ข้ายังไม่หมดธุระกับเจ้า”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคราวนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไม่มีทางลดละจนกว่าจะได้คำตอบ
“ผม..ไม่ต้องการจะพูดถึง”
เขาเองก็ยังคงยืนกรานที่จะไม่ขอตอบ
แค่นี้ก็รู้สึกเจ็บช้ำใจตัวเองมาเกินพอแล้ว หากจะต้องพูดย้ำออกมาจากปากตัวเองซ้ำอีกครั้ง..มันเกินที่จะทนกับหวนนึกถึงการกระทำน่าอัปยศนั้น
หรือนั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการกันแน่..ต้องการให้เขารู้สึกเจ็บปวดเพื่อจะได้มองด้วยสายตาสมเพชใส่กัน
แต่คุณคามิวคงไม่..
อ่า.. ไม่สิ เขาไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนๆนี้อย่างที่คิด
คนหลอกลวงคนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับจินงูจิ
“แต่ข้าต้องการจะรู้”
เริ่มจะกลายเป็นประโยคคำสั่ง
“ถึงคุณจะรู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกค-..”
ไม่ทันที่จะได้เถียงกลับก็ถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าว
“ข้ากำลังสั่งเจ้าให้ตอบ!
อย่าริมาต่อปากต่อคำกับข้าเจ้าไพร่!!”
คามิวตวาดลั่นใส่ถลึงตาจ้องในแบบที่คนปกติยากจะได้เห็น
ฮิจิริคาวะสะดุ้งด้วยความกลัวจนขวัญหาย ร่างในชุดเสื้อคลุมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติเบนนัยต์ตาตื่นตระหนกหลบ
ริมฝีปากซีดเผือดพยายามขยับเปล่งเสียงสั่นๆตอบกลับไป
“ช...ชะ..ใช่แล้วครับ..
” สองมือโอบกอดแขนตนเองแน่นราวกับต้องการจะหดตัวลงให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
นัยน์ตาคู่สีน้ำแข็งหรี่จ้องมาจนเย็นวะวาบเสียเสียวสันหลัง
แรงกดดันมหาศาลถูกผลักโถมใส่ยามร่างโปร่งเคลื่อนตัวสาวเท้าเข้ามาใกล้ทีละก้าว
“ข..ขอโทษ..ครับ..”
เพราะนึกว่าทำให้อีกคนต้องโกรธจึงได้แต่พูดขอโทษออกไป
แต่ทว่าร่างตรงหน้ายังคงไม่หยุดเดินเข้ามาหา ฮิจิริคาวะจึงได้แต่พูดขอโทษซ้ำๆอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าตนนั้นหวาดกลัวมากเสียจนกระทั่งน้ำตาได้รินอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ฮึก..-..ขอโทษครับ..”
เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นนั้นทำให้คามิวต้องหยุดมือที่กำลังจะเข้าไปสัมผัสร่างที่สั่นเทา
ชายหนุ่มลดแขนลงพลางกำหมัดแน่นพร้อมทั้งพึมพำบ่นอะไรบางอย่าง
ดวงตาอความารีนฉายแววอ่อนลงมองฮิจิริคาวะอย่างชั่งใจ
นิ่งเงียบกันได้ไม่นานเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น..ฮิจิริคาวะเงยขึ้นมองด้วยความแปลกใจเพราะมันเป็นเสียงที่คุ้นหูเขาเสียเหลือเกิน
และวัตถุซึ่งเป็นต้นเสียงก็ถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มผมบลอนซ์
คามิวก้มมองหมายเลขที่ปรากฎอยู่บนจอก่อนจะมุ่นคิ้วเครียดแต่ก็กดรับสาย
“ครับ? ใช่ครับกระผมเป็นเลขาฯของท่านประธานฮิจิริคาวะครับ”
คำพูดแบบสุภาพและน้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากปากของบุคคลใจร้ายได้อย่างชวนประหลาดใจนัก
คามิวสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัยได้อย่างง่ายดายไม่ต้องตระเตรียมใดๆ
ฮิจิริคาวะชะงักนิ่งยามที่ได้ยินโทนเสียงนั้นอีกครั้ง
แม้กระนั้นก็ตามแต่เขาจะจมดิ่งอยู่กับเรื่องเก่าๆไปก็คงไม่เกิดประโยชน์..จะมีก็แต่ความเจ็บปวดเสียเปล่าๆ
แต่แล้วเมื่อจ้องมองไปยังโทรศัพท์ในฝ่ามืออีกฝ่ายก็ทำให้เขานึกอะไรออกขึ้นมา
พอเห็นว่าอีกคนกำลังให้ความสนใจอยู่กับคู่สายจึงฉวยโอกาสนั้นในการพุ่งตัวเข้าไปหมายจะแย่งโทรศัพท์เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
อีกเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่จะคว้าได้มาอยู่แล้ว..ความไวของคนธรรมดาก็ไม่สามารถเทียบได้เท่ากับสายลับมืออาชีพอย่างคามิว
ข้อมือถูกคว้าไว้แน่นจนไม่อาจสะบัดให้หลุดได้ แรงบีบนั้นบังคับให้ต้องยอมขยับไปตามทิศทางที่โดนควบคุม
ฮิจิริคาวะถูกผลักลงให้นอนคว่ำหน้าไปกับเตียง
สองแขนถูกจับมาล็อคไว้ไพล่หลังด้วยแรงจากเพียงมือเดียวเท่านั้น
“มีเรื่องที่จะแจ้งท่านประธานหรือครับ
อ่า..กระผมเกรงว่าในตอนนี้ท่านประธานจะไม่สะดวกพูดสาย ฝากให้กระผมแจ้งแทนจะสะดวกหรือเปล่าครับ”
คามิวยังคงพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติดี
“ช่วย-.......”
ฮิจิริคาวะพยายามจะตะโกนสุดเสียงหวังให้เข้าไปยังปลายสายแต่แล้วกลับถูกฝ่ามืออีกข้างมาคว้าปิดปากไว้แน่นจนเหลือเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น
ส่วนมือถือถูกหนีบไว้ระหว่างใบหูและหัวไหล่ของชายผมยาวแทน คามิวเขยิบเข้าชิดที่ด้านหลังดันให้ร่างของฮิจิริคาวะต้องขดตัวงอ
“..ถ้าอย่างนั้นหากท่านประธานเสร็จธุระแล้วทางเราจะติดต่อกลับไปครับ
สวัสดีครับ” สิ้นสุดการสนทนาเลขาฯเพียงเปลือกก็รอจนปลายสายตัดไป มือสองข้างที่ล็อคแขนและปิดปากท่านประธานก็ผละออกเพราะหมดสิ้นซึ่งความจำเป็นแล้ว
ฮิจิริคาวะพลิกร่างตะแคงเหลือบสายตาจ้องโทรศัพท์ที่ถูกเก็บกลับเข้าที่เดิมอย่างหมดหวัง
ในจังหวะเดียวกันคามิวก็ตวัดสายตามาสบพอดี
“หึ..”
คามิวขยับร่างลุกขึ้นจากเตียงแล้วส่งเสียงเยาะเย้ยทิ้งไว้ก่อนจะเดินจากไป
สายตาและเสียงนั่น...ตอกย้ำความจริงอันแสนโหดร้ายเสียเหลือเกิน
เสียงสะอื้นร้องถูกกลืนลงไปกับเบาะที่นอนนุ่มแต่ความเปียกชื้นจากหยาดน้ำตาที่ไหลนองนั้นผืนผ้าไม่อาจจะซับไว้ได้ทั้งหมด
ความเศร้าเสียใจถูกปล่อยออกมาอย่างหยุดไม่ได้ หวังเพียงมีสิ่งที่ช่วยรองรับมันไว้สูบจนร่างกายนี้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง
สติเลือนลางกระทั่งไร้ความรู้สึกจะรับรู้อะไรได้อีกต่อไป
ปลายนิ้วขยับขยำผ้าปูเตียง
เปลือกตาปรือลืมขึ้นอย่างล้าๆ แรกความรู้สึกคือความเย็นจากกองน้ำตาที่เพิ่งแห้ง
ลำคอของฮิจิริคาวะแห้งผากเพราะสะอื้นร้องไห้อยู่นานกระทั่งสลบไปจึงได้หยุด
ชายหนุ่มค่อยๆขยับตัวช้าๆขึ้นมานั่งเนื่องจากรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
หลังจากพักอยู่ได้สักครู่หนึ่งจึงค่อยปรับตัวได้
หลังมือยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ถึงจะร้องออกมาจนน้ำตาหมดตัว..ความเสียใจที่มีก็ไม่ได้ทุเลาลงเลยจริงๆ
เขายิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง
พอตื่นได้เต็มสติเขาจึงค่อยได้ยินเสียงที่ดังมาจากนอกห้อง
ในทีแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นคุณคามิวแต่แล้วเสียงที่เขาได้ยินนั้นเหมือนว่าไม่ได้มาจากคนๆเดียว..
เป็นเสียงของการโต้เถียงกันของคนสองคน
เกิดอะไรขึ้นข้างนอกห้อง?
แม้จะกลัวว่าอาจเป็นเรื่องที่อันตราย..แต่สภาพตัวเองในตอนนี้คงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าเดิมอีกแล้ว
ฮิจิริคาวะเขยิบตัวลุกขึ้นจากเตียงและพยายามก้าวเท้าเดินให้เกิดเสียงเบาที่สุด
ใบหูแนบลงที่บานประตูไม้เพื่อฟังเสียงแต่ได้ยินไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นัก
เขากลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจแง้มประตูออกไปเพื่อแอบมองสถานการณ์ข้างนอก
ว่างเปล่า..
เขาไม่เห็นใครเลยที่อยู่ด้านนอก..แต่ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกหลอนหูขึ้นมานั้นเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ซึ่งดังมาจากฝั่งของโซฟา
ข้างในใจของเขาพยายามส่งเสียงว่าอย่าออกไป.. แต่อีกใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับมาแรงผลักดันมากกว่า
ฮิจิริคาวะเดินย่องอย่างเงียบเชียบตรงไปทางที่ตั้งของโซฟา
“ข้าบอกให้หยุดจินงูจิ!”
เสียงของคุณคามิวไม่ผิดแน่..ส่วนชื่อที่เอ่ยนั้น..เขาเองก็น่าจะเดาได้ว่าจะมีใครอื่นที่มาที่นี่ได้นอกไปจากหมอนั่น
“บารอนดูโกรธง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนนะ..เพราะอะไรกันนะ?~”
ก้าวเข้าใกล้ไปอีกทีละนิด..
“หุบปากของเจ้าไปซะ!”
กำลัง..ทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นหรือ?
“ได้สิ..”
จนเมื่อเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่พอเหมาะแล้ว.. ภาพที่เขาได้เห็นทำให้ต้องยืนตะลึง
ร่างของสายลับทั้งสองคนกำลังนอนคร่อมกันอยู่บนโซฟา
ริมฝีปากของทั้งคู่นั้นกำลังประกบกัน.. เหมือนว่าจินงูจิจะเป็นฝ่ายที่รู้สึกตัวก่อน
นัยน์ตาคู่สีฟ้าสว่างขึ้นเหล่จ้องมาทางที่เขายืนอยู่ริมฝีปากที่แนบจูบอยู่กับผู้ที่อยู่เบื้องล่างนั้นยกมุมปากส่งยิ้มยียวนมาให้
และนั่นก็ทำให้ผู้ที่ถูกคร่อมร่างรับรู้ได้ถึงการมาของเขาด้วย ชายผมบลอนซ์ออกแรงผลักใบหน้ากะล่อนให้ออกไป
ตวัดนัยน์ตาจ้องมาด้วยความตกใจ
“เจ้า...”
“พวกเราเสียงดังจนทำให้นายตื่นหรอ
ฮิจิริคาวะ~”
ฮิจิริคาวะได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
-TBC.-
หอมกรุ่นจากเตาทุกตอน(......)