Fan-fiction Utapri
Title : Kill hand: ♠
Pairing : Camus x Masato
Warning : AU
Rate : 18+
Rate : 18+
Note : oneshot นี้จะเป็นฉากเดียวกับในแฟนฟิคเรื่อง Kill game ตอนที่ 3 จงอย่าหาความเชื่อมโยงใดๆกับตอน3จริงๆเลย5555 จะเรียกว่าเป็นแฟนฟิคของแฟนฟิคอีกทีก็คงดูซับซ้อน(และสั้นเกินไป) เอาเป็นว่าเป็นหนึ่งในพล็อตที่คิดเอาไว้แต่ไม่ได้เอามาแต่งจริงๆในเรื่องหลัก สาเหตุก็เพราะไม่สามารถจะนำไปเชื่อมกับเนื้อเรื่องได้เท่าไหร่นักทั้งด้านช่วงเวลาและเหตุผลการกระทำของตัวละครที่ได้วางไว้แล้วก่อนหน้า
ส่วนใครก็เพิ่งเปิดมาเจอตอนนี้พอดีแนะนำให้ลองอ่านเรื่องหลักดูก่อนนะคะ >เรื่องหลัก<
สองเข่าที่แยกออกค้ำกายรองรับน้ำหนักที่โถมลงใส่ร่าง
เสียดสีไปกับผ้าปูเตียงเนื้อละเอียดจนเกิดเสียง
หนุนใบหน้าซบลองกับสองแขนเพื่อซ่อนความแดงซ่านบนใบหน้าไม่ให้คนใจร้ายได้เห็น
เส้นผมสีน้ำเงินชื้นด้วยเหงื่อปลิวไหวไปตามแรงกระทั้นเข้าหาที่ข้างหลัง
ฮิจิริคาวะเม้มริมฝีปากแน่นกลั้นไม่ให้เสียงร้องประหลาดนั่นหลุดออกมา
“กลั้นไว้ทำไมเล่า..ไม่ใช่ว่าเจ้าร้องเรียกชื่อข้าอยู่ทุกค่ำคืนหรอกรึ?” ชายผมบลอนซ์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
รอยสักโพธิ์ดำแนบลงกับผิวที่บั้นเอวก่อนจะใช้มือดึงร่างผู้ที่อยู่ในท่าคลานให้ถอยกลับมารับกายเข้าไปจนสุด
“อึก..!!” ความจุกแล่นเข้ามาจนน้ำตารื้น
“หึ.. บังอาจใช้คนอื่นเป็นตัวแทนข้า” อความารีนฉายแววขุ่นเคือง กัดฟันอย่างกริ้วโกรธกระแทกซ้ำใส่อย่างไม่สนใจว่าร่างนั่นจะรับได้ไหวหรือไม่
เรียวขาขาวถูกตีตราด้วยรอยจูบลามจนถึงก้นกบและแผ่นหลัง เนื้อตัวสั่นระริกร้อนวูบวาบไปจามสัมผัสที่ถูกมอบให้..จะกล่าวว่าไม่เต็มใจก็ไม่เชิงนัก
แต่จะบอกว่ายินยอมก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
“นี่ล่ะคือตัวตนที่แท้จริงของข้าที่เจ้าอยากจะรู้จักนัก”
ทุกคำพูดกรีดลึกลงในอกความรู้สึกดีๆที่เลยหลงเหลือถูกฉีกออกให้ขาดวิ่น
ยิ่งตอกย้ำในความเขลาของตนเอง..
ความอ่อนโยนแสนจอมปลอมพวกนั้น..ทำให้เขายอมเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฮิจิริคาวะกัดริมฝีปากตนแน่นจิกเล็บลงขยำผ้าปูเตียงหวังระบายควมเจ็บแปลบที่แล่นไปทั่วทั้งร่าง
เปลือกตาปิดลงขังน้ำตาใสไม่ให้ไหลออกมา ถ้อยคำทำร้ายจิตใจถูกเอ่ยให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา
เขานึกอยากจะปิดหูตัวเองเสียเหลือเกินแม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรได้มากก็ตามที
แต่แล้วเสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำให้สายลับหนุ่มต้องหยุดการเคลื่อนไหวกลางคัน
ฮิจิริคาวะเหลียวหลังไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังวุ่นอยู่กับการกดรับสายเขาจึงตั้งใจจะอาศัยจังหวะนี้ในการหนี
“สวัสดีครับ ใช่ครับ กระผมเลขาฯของท่านประธานฮิจิริคาวะพูดสายอยู่ครับ” โทนเสียงแข็งกร้าวนั่นแปรเปลี่ยนเป็นสุภาพนุ่มนวล
คามิวรู้สึกได้ถึงร่างที่พยายามจะเขยิบออกห่างตัวจึงใช้แขนข้างหนึ่งอ้อมไปรั้งตัวไว้แล้วดึงกลับเข้ามาให้ชิดตามเดิม
นัยน์ตาตวัดจ้องแบบไม่พอใจพลางกระแทกกายเข้าหาคล้ายเป็นการลงโทษ
“อะ..!” ฮิจิริคาวะที่ตั้งตัวไม่ทันหลุดเปล่งเสียงครางออกมาก่อนจะรีบยกมือขึ้นกุมปากตนเองไว้
“ขอเรียนสายกับท่านประธานหรือครับ
อ่า..ผมเกรงว่าตอนนี้ท่านประธานจะไม่สะดวกพูดสายเสียเท่าไหร่” คามิวโกหกหน้านิ่ง
เหลือบจ้องท่านประธานที่เริ่มจะให้ความสนใจกับบทสนทนา
พอถูกรู้ทันว่ากำลังจ้องรอโอกาสฮิจิริคาวะก็ไม่รีรอที่จะพุ่งตัวเข้าหาหมายจะแย่งโทรศัพท์จากมืออีกคนมาให้ได้อย่างรวดเร็ว..แต่ก็ไวได้ไม่เท่าสายลับมืออาชีพ
สองแขนถูกรวบล็อคให้ไพล่หลังไว้ด้วยเพียงมือเดียว
ด้วยสภาพตัวเขาในตอนนี้เป็นการยากที่จะพยายามดิ้นให้หลุด
เดี๋ยวก่อน..
เขาไม่จำเป็นจะต้องแย่งมือถือมาคุยเองอย่างเดียวนี่..
“ช่วยด้วย!” ฮิจิริคาวะตะโกนออกมาสุดเสียงหวังจะให้ดังมากพอจนปลายสายได้ยิน
คามิวเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึงว่าจะมาไม้นี่ แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้เกมไม่ได้เสียทีเดียว
“สักครู่นะครับ” โทรศัพท์ถูกวางให้หนีบไว้ระหว่างใบหูกับหัวไหล่
ฝ่ามือรีบเอื้อมไปตะครุบปากที่กำลังจะส่งเสียงดังให้ปิดสนิท เคลื่อนเอวเข้าหาอีกครั้งหมายให้ร่างที่นอนดิ้นอยู่สิ้นฤทธิ์
ชายหนุ่มกลั้นเสียงครางไว้ในลำคอกันไม่ให้หลุดออกดังเข้าไปในโทรศัพท์
“พอดีว่าท่านประธานกำลังติดธุระด่วนอยู่น่ะครับ
หากจะฝากเรื่องไว้ที่ผมแทนจะสะดวกหรือเปล่าครับ” คามิวโน้มตัวลงเข้าชิดร่างตรงหน้า จงใจเอ่ยพูดด้วยโทนเสียงแบบเดียวกับช่วงที่ยังคงทำงานอยู่ในออฟฟิศ
สังเกตเห็นสีระเรื่อที่ซึ่งลามจนแดงไปทั้งใบหู
“ได้ครับ..
แล้วทางเราจะติดต่อกลับไปครับ” เสียงหอบครางต่ำดังออกมาหลังจากที่ปลายสายได้กดวางหูไปแล้ว
มือถือที่ถูกแนบไว้ร่วงตกลงบนเตียงนุ่มเมื่อลำคอเอียงให้กลับมาตั้งตรงตามเดิม
คามิวแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางเร่งจังหวะขยับกายให้เร็วขึ้นจนสปริงที่รับน้ำหนักของคนทั้งสองส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
นิ้วยาวสอดไปยังรอยแยกของกลีบปากให้เผลอออก ในทีแรกฮิจิริคาวะหมายที่จะกัดให้เสียเลือดซึมแต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง
ทั้งๆที่คนๆนี้..ทำร้ายเขามากมายขนาดนี้แท้ๆๆ
สัมผัสอุ่นของหยดน้ำตาร่วงแปะลงบนหลังมือ คามิวหยุดชะงักแทบจะทันที
คนผมบลอนซ์ชะเง้อจ้องหน้าที่พยายามซุกหลบ
ผละฝ่ามือที่กุมปากนั่นออกมาก่อนจะจับเชยคางดันขึ้นมองให้มองเห็นได้เต็มตา
“...ย..อย่ามองผม..ในตอนนี้เลยนะครับ” ฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆพร้อมทั้งเลื่อนแขนตามมาบังใบหน้า
เพราะเท่านี้เขาก็รู้สึกสมเพชตัวเองมากเกินพอแล้ว
คนใจร้ายน่ะหรือจะยอมฟัง คามิวคว้าข้อมือกดให้แนบลงกับเตียงเลื่อนหน้าตามเข้าประชิดจ้องเพ่งมองดวงหน้าซึ่งอาบน้ำตาใส
“ข้าห้ามเห็นแต่จินงูจิเห็นได้อย่างนั้นสิ?” ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่ต้องการที่จะประชด
คามิวไม่ได้รอให้อีกฝ่ายแก้ต่างจึงเอ่ยต่อเพื่อตัดบท
“แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะมาห้ามไม่ให้ข้าทำอะไรทั้งนั้น
เพราะหากข้าต้องการข้าก็จะทำ!” สองมือคว้าสะโพกจับให้มั่นโถมกายเข้าใส่ด้วยอารมณ์รุนแรง
แน่นอนว่าไร้ซึ่งความอ่อนโยนในสัมผัสที่ถูกมอบให้
เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ขืนบังคับ เอาแต่ใจ ซึ่งแตกต่างกับสัมผัสของจินงูจิโดยสิ้นเชิง
แม้จะเป็นเช่นนั้นแล้ว..ล้วนทำให้เขารู้สึกดี..ถึงจะดีในคนละแบบก็ตาม
นั่นล่ะ..คือสิ่งที่ทำให้เขายิ่งฉงนใจ
กับคนหนึ่งที่มีความรู้สึกให้..แต่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ
ส่วนอีกคนที่ไม่อยากแม้แต่จะผูกมิตรด้วย..กลับมอบคำหวานช่วยปลอบโยน
“ฮ-..ฮะ..!!” ฮิจิริคาวะกระตุกเกร็งตัวเรียวขาอ่อนล้าพับลงอย่างหมดแรง
ใบหน้าแดงก่ำยามรู้สึกถึงความอุ่นที่ปลดปล่อยภายในกาย
ชายหนุ่มฟุบหน้าลงกับเตียงหอบหายใจถี่ ความอึดอัดถูกถอดถอนออกไปแล้ว
ลมเย็นปะทะเข้าที่แผ่นหลังเปลือยหลังจากร่างของคามิวลุกออกไปจากเตียงทิ้งให้ฮิจิริคาวะนอนอยู่คนเดียวโดยไม่ได้เอ่ยคำลาใด
เขาเอง..ก็ไม่กล้าที่จะเงยมองตามอีกคน กลัวเหลือเกินที่จะต้องเห็นสายตาที่มองมาด้วยความเวทนานั่นอีก
แบบนี้แหละ..ดีที่สุดแล้ว
เพราะอย่างน้อย..ผมก็ได้รู้ถึง..ตัวตนที่แท้จริงของคุณ
-END-
แววววววววว คามิวใจร้ายอ่ะะะะะะ
ตอบลบถึงจะบอกว่าสั้น แต่ก็ยังแอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นที่มาที่ไปของเหตุการณ์ในตอนนี้มากกว่าน่ะ ฮรึก //จิ้มนิ้ว
ยังไงก็ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆอีกมื้อ(?)นะ