7.04.2562

[oneshot utapri] Blue tea (RenMasa)

Fan-fiction utapri

Title: Blue tea
Pairing: Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
Rate: PG
A/N: oneshot สั้นๆ ด้วยแรงรักแรงสครีมจากทวิตเตอร์มาซาโตะซังเมื่อวานค่ะ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกับที่คุณเร็นไปอวยพรกับแกล้งหยอกมาสะ แถมยังแอบเอาของขวัญใส่ในกระเป๋าไม่ให้เจ้าตัวรู้อีกกก ยกให้เป็น mvp เลยค่ะ.. แถมเช้าวันถัดมามาสะทวีตบอกว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เอ๊...




               น้ำเดือดจากกาต้มน้ำร้อนถูกเติมลงในถ้วยแก้วสีใส นัยน์ตาคู่อเมทิสต์เบิกกว้างเมื่อผงชาที่ละลายนั้นเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเข้ม ริมฝีปากมุ่ยลงเล็กน้อยเมื่อทำให้นึกย้อนไปถึงประโยคคำพูดของใครบางคนในวันนี้

               "ไม่กินของสีน้ำเงินบ้างล่ะ"

ในตอนแรกก็ชวนโมโหนิดหน่อยที่ดูเป็นถ้อยคำเชิงแกล้งกัน พอมาตอนนี้ก็เลยทำให้รู้ทันทีว่าตัวการที่แอบนำกล่องปริศนาใส่มาในกระเป๋าคือใคร

ถุงชาที่แช่ถูกวางตั้งทิ้งไว้ตามเวลาที่ระบุบนกระป๋อง เขาเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ก่อนจะหยิบขึ้นมาเตรียมถ่ายภาพของชาชงที่ได้รับมา ระหว่างรออยู่นั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ฮิจิริคาวะมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินไปส่องดูที่ช่องตาแมว ถอนหายใจออกมาเพราะไม่ผิดจากที่คาดเสียเท่าไหร่

เจ้าของห้องเปิดประตูรับแขกที่ไม่ยอมนัดล่วงหน้า แต่ทันทีที่เห็นของที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ก็ต้องชะงัก

ชายผมสีน้ำตาลทองในชุดลำลองสวมด้วยโค้ทยาวทับข้างนอกกำลังถือช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินพร้อมการ์ดเขียนข้อความอวยพร จะว่าไปแล้วกุหลาบสีน้ำเงินก็หาไม่ได้ง่ายๆ พอกับของกินสีน้ำเงินสินะ

               "ไม่คิดว่าฉันจะเข้านอนแล้วรึไง" ฮิจิริคาวะเอ่ยพูดเสียงเบาพร้อมสีหน้าเขินเล็กน้อยขณะรับช่อกุหลาบมาถือไว้

               "ยังไม่ถึงเวลานอนปกติของนายนี่" จินงูจิเอ่ยตอบพร้อมขยับยิ้ม

               "รู้ดีจังนะ.. เข้ามาก่อนสิ" เจ้าบ้านเอ่ยอนุญาต ดอกไม้ช่อโตถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะที่มุมห้อง

ผู้มาเยือนถอดเสื้อคลุมตัวนอกแขวนไว้แล้วเดินตามเข้ามา สายตาคู่สีน้ำเงินกวาดมองไปหยุดอยู่ที่แก้วชาบนโต๊ะก่อนจะอมยิ้ม

               "กล้ากินของจากคนที่ไม่รู้ว่าใครด้วยหรอ" เร็นหัวเราะแล้วนั่งลงบนโซฟา

ฮิจิริคาวะยังไม่ได้พูดตอบ แต่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพชาสีน้ำเงินแทนก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ

จินงูจิเลิกคิ้วก่อนจะเปิดมือถือตนเองดูบ้าง ก่อนจะชะงักไปยามเห็นสิ่งที่อีกคนเขียนต่อถัดมาอีกข้อความ ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย

               "จะมีใครได้อีกล่ะ เป็นคนที่นิสัยไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ" แม้จะเป็นคำบ่นแต่ริมฝีปากกลับวาดยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วยกชาขึ้นจิบ

               "ก็ใช้ได้ ถึงกับต้องไปหาของที่สีน้ำเงินแบบนี้มาเลย ฉันควรขอบใจนายมากๆ สินะ" ฮิจิริคาวะว่าหลังจากที่ลองชิมรสชาแล้ว
จินงูจิเขยิบตัวไปนั่งชิดก่อนจะยกขึ้นดื่มจากแก้วเดียวกันบ้าง เจ้าของแก้วมุ่ยหน้าเล็กน้อยนึกอยากจะบ่นเรื่องมารยาทแต่ก็คงจะไม่เข้าหูอีกคนเท่าไหร่

               "พอนึกได้ว่าบารอนเคยชงชาแบบนี้น่ะเลยลองไปถามมา ตอนนายลองชงคงแปลกใจน่าดูเลยล่ะสิ" เหล่สายตามองแล้วยกยิ้ม

ฮิจิริคาวะเอนศีรษะพิงซบกลับบ้าง ในมือทั้งสองยังคงพิมพ์ข้อความอยู่

               "อ่า.. ก็นิดหน่อย ตอนที่เห็นก็คิดว่าใครมาเล่นอะไรแผลงๆ เสียอีก มารู้ก็ตอนเห็นสีของชานี่ล่ะนะ" ใบหน้ายังไม่เงยจากจอโทรศัพท์

คนที่อยู่ข้างตัวก้มลงมองจอในมืออีกคนไปด้วย ขยับยิ้มแล้วซุกหน้าลงบนเส้นผมสีน้ำเงิน

               "ยินดีด้วยอีกรอบล่ะ" เร็นพูดกระซิบแผ่วใกล้ใบหู เลื่อนแขนโอบไหล่คนในชุดยูกาตะไว้

               "ขอบใจ.. สำหรับของขวัญก็ด้วย" นิ้วกดส่งอีกข้อความก่อนที่จะวางมือถือลงบนโต๊ะ เงยหน้ามองคนอวยพรแล้วยิ้มรับ ฝ่ามือขยับไปกุมกันไว้หลวมๆ

ฮิจิริคาวะไม่ได้ซื่อจนไม่รู้ว่าที่จินงูจิจงใจมารับแผ่นอัลบั้มของเขาที่ออฟฟิศจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะมันเป็นอีกวันที่พิเศษเลยตั้งใจที่จะมาเจอ

ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเกลี่ยปลายผมไปทัดไว้หลังใบหู ชะเง้อใบหน้าไปแนบริฝีปากลงเบาๆ ยังมุมปากอีกคน จนเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างอย่างแปลกใจ แต่ก็แต่ชั่วครู่เดียวจนจะรวบเอวเข้าไปกอดไว้แน่น

               "จินงูจิฉันมีงานเช้านะ.." ฮิจิริคาวะพูดเกริ่นดักไว้ก่อน

               "รู้อยู่แล้วน่า..เลยมาให้เร็วกว่าเวลานอนนายแล้วไงล่ะ" ยกยิ้มมุมปากแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้

ออกแรงดันให้เอนตัวลงไปนอนพิงหลังกับเบาะโซฟา สายโอบิถูกกระตุกเบาๆ เป็นเชิงหยอก เร็นคร่อมตัวตามลงมาแนบใบหน้าลงซุกที่ข้างศีรษะ

               "คนนิสัยแย่" ฮิจิริคาวะเอ่ยแขวะแต่ก็ยกแขนขึ้นโอบไว้ที่แผ่นหลังคนข้างบน ปิดตาลงยามที่สัมผัสของรสจูบแนบลงมาประทับมอบให้


หวังว่าคืนนี้จะมีเวลาพักผ่อนได้เพียงพอก่อนจะไปทำงานนะ..



-fin-



6.09.2562

[oneshot utapri] Dinner (RenMasa)

fan-fiction utapri

Title: Dinner
Pairing: Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
Rate: 18+
A/N: เป็นพลอตกระทันหันมากๆ แค่อยากเขียนฉากนึงเท่านั้น เลยออกมาเป็นฟิคสั้นๆ ภาษาน่าจะแกว่งไปมากเพราะไม่ได้เขียนมานานสุดๆ รู้สึกจะเขียนบรรยายยาวๆ ไม่ค่อยได้แล้ว
Warning: NSFW



               เม็ดฝนหยดลงตกพรำๆ กระจายเป็นสายน้ำกระดอนยามกระทบพื้น ความเย็นในห้องโดยสารของรถยนต์ทำให้ไอน้ำเกาะบนกระจก เบื้องหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงจึงต้องจอดหยุด แสงจากจอโทรศัพท์มือถือสว่างขึ้น กล่องเด้งเตือนขึ้นว่ามีข้อความเข้า นัยน์ตาคู่สีฟ้าสว่างจ้องมองชื่อที่ส่งมาไว้

'ฮิจิริคาวะ'

เล็กคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนที่จะกดเปิดอ่าน

'วันนี้น่าจะเลิกช้ากว่าที่บอก ขอโทษด้วยจินงูจิ'

จินงูจิ เร็น ถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจขับรถออกมาหลังจากที่เสร็จงานและแวะทำธุระที่ร้านขายของชำทันทีเพื่อให้ทันเวลาที่นัดกันไว้ แบบนี้กว่าจะถึงห้องก็คงดึกเป็นแน่ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

สายตาเหล่มองไปยังถุงใส่วัตถุดิบสำหรับเตรียมอาหาร ทิ้งไว้ในรถหลายชั่วโมงหวังว่าคงจะไม่เสียไปก่อน เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันที่ว่างตรงกันทั้งวันพอดีหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างติดงานจนแทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเลยเกือบเดือน เลยกะว่าจะกลับไปทำมื้อเย็นด้วยกัน
รออยู่พักใหญ่สัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาขับตรงไปยังสตูดิโอที่ฮิจิริคาวะไปทำงานในวันนี้ หลังจากได้รับบัตรผ่านก็เข้าไปลานจอดรถแล้วดับเครื่อง ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนถึงอีกฝ่ายจะเสร็จงาน ภายในรถเงียบสกัดได้ยินกระทั่งเสียงของเข็มนาฬิกาข้อมือขยับ น่าจะผ่านไปรางครึ่งชั่วโมงจึงมีเสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น

เจ้าของมือถือก้มลงอ่านก่อนจะขยับยิ้ม แขนยาวเอื้อมไปคว้าร่มคันใหญ่ที่อยู่เบาะหลังก่อนจะออกจากรถ กางร่มแล้วกดรีโมตสัญญาณเพื่อล็อคประตู รองเท้าเดินย่ำน้ำที่นองบนพื้น ส่งเสียงเจาะแจะไปตามทางจนไปถึงข้างในอาคาร ดวงตากวาดมองรอบๆ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่าไหร่นัก คงเพราะเลยเวลางานทั่วไปมามากแล้ว

               "จินงูจิเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียก ใบหน้าสละสลวยของชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินชะเง้อมองมาหลังจากที่เดินพ้นประตูตึก

               "ปล่อยให้รอนานเลยนะ ไม่ไหวเลยนายเนี่ย" เอ่ยบ่นเชิงหยอกไปเช่นนั้น แต่ใบหน้ายังคงวาดยิ้มไว้อยู่

               "ช่วยไม่ได้นี่ นายอยากรีบมารอเองทำไมล่ะ" ไม่ยอมปล่อยให้ถูกว่าฝ่ายเดียวหรอก ฮิจิริคาวะมุ่ยหน้าเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินไปยืนใต้ร่มที่อีกคนกางให้

ทั้งคู่เดินไปจนถึงรถคันที่จอดไว้ เสียงกดปลดล็อคดังขึ้น เจ้าของรถจะเปิดประตูให้ มือถือร่มไว้ระมัดระวังไม่ให้อีกคนเปียก เมื่อเห็นว่าเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินอ้อมเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ รอให้คนด้านข้างรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะสตาร์ทรถขับออกมา



               รถในท้องถนนยามดึกมีไม่มากน้อย จึงใช้เวลาไม่นานในการขับกลับมาถึงที่พักถึงจะฝนตกก็ตามที แผนที่วางไว้ดูท่าจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงห้องพร้อมขนข้าวของที่ซื้อมาก็จวนจะสี่ทุ่มเสียแล้ว โดยปกติแล้วหากต่างคนไม่ได้มีตารางงานแน่นฮิจิริคาวะก็จะมาค้างด้วยกันที่ห้องของเขา

               "ยังเรียกว่ามื้อเย็นได้หรือเปล่านะ?" เร็นพูดขึ้นมาระหว่างหยิบของออกจากถุงนำมาเรียงไว้บนเคาน์เตอร์ครัว ส่วนผักก็นำมาล้างในอ่างล้างจาน

หัวหน้าครัวในวันนี้เป็นฮิจิริคาวะ ส่วนเขาเป็นลูกมือ

               "ฉันถึงบอกให้นายหาอะไรกินตอนเย็นไปก่อนไงล่ะ" ฮิจิริคาวะเดินกลับมาพร้อมสวมคัปโปงิทับไว้ แขนเสื้อถูกพับขึ้นก่อนจะหยิบของบางส่วนที่ถูกวางเรียงรอไว้มาจัดการต่อ

หัวแครอทสีส้มถูกนำมาปอกเปลือกด้านนอกออก แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ส่วนอีกด้านจินงูจิกำลังหั่นหัวหอมใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วจึงหยิบกระทะทรงสูงมาวางไว้บนเตาไฟฟ้าก่อนจะเปิดเพื่ออุ่นให้ร้อนค่อยเทน้ำมันและหัวหอมลงผัด

               "ตรงนี้เรียบร้อยแล้วนะ~" เขาเบาไฟลงเล็กน้อย ชายหนุ่มหันมองคนที่ยืนข้างตัวพลางอมยิ้ม ฮิจิริคาวะมักจะเพลิดเพลินกับการทำงานบ้านรวมทั้งการทำอาหาร

               "ถ้าว่างนายก็ไปจัดโต๊ะเสียสิ" เจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่ากำลังถูกมองจึงเอ่ยไล่ให้ไปทำอย่างอื่นแทน ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเด็กไม่มีทางคลาดไปจากสายตาที่ว่องไว

คงจะรู้สึกเขินที่ถูกมองนานๆ ฮิจิริคาวะเบียดตัวมายืนไล่ที่เขา จัดการเทแครอทลงในกระทะพร้อมกับเครื่องปรุง

 เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหยิบจานและช้อนส้อมไปวางเตรียมบนโต๊ะกินข้าว ระหว่างที่กำลังจัดของอยู่นั้นก็เหลือบมองร่างที่กระดุกกระดิกตัวไปมาที่มุมครัวในห้อง เป็นภาพที่นานครั้งถึงจะได้เห็นทีเดียว ทุกครั้งที่กลับมาที่ห้องก็จะมีแต่เขาที่เดินวนไปมาคนเดียว ครั้งล่าสุดก็เดือนก่อนที่ได้เห็นภาพอีกคนมาอยู่ด้วยกันและใช้เวลาร่วมกันในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากงาน

จะว่าไปแล้วก็ชวนคิดถึงช่วงที่ฮิจิริคาวะจะคอยปลุกเขาตอนเช้าสมัยเรียน

               "ฉันว่ารสเค็มพอดีแล้ว นายลองมาชิมดูก่อนสิ" ฮิจิริคาวะหันมาแล้วเอ่ยเรียกให้ไปช่วยชิมรส

เขาเดินไปตามที่เรียกหา ชะเง้อหน้าจ้องในกระทะระหว่างรออีกคนตกน้ำขึ้นมาแบ่งใส่ถ้วยใบเล็กแล้วยื่นมาชิมริมฝีปาก

               "ระวังร้อนด้วย" เอ่ยเตือนไว้ขณะที่ควันยังคงโชยอยู่

จินงูจิเป่าเบาๆ ก่อนจะลองชิมรส มุ่นคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับอีกคน ระหว่างนี้คงต้องตั้งทิ้งไว้รอให้เย็นลงก่อนถึงจะนำไปปั่นได้ อุปกรณ์ที่ใช้แล้วถูกวางไว้ในอ่างล้างจานเตรียมทำความสะอาด

               "จริงสิงานวันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?" จินงูจิเอ่ยถามเพื่อชวนคุย มักจะเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเพราะอีกคนนั้นไม่ค่อยเก่งเรื่องการเปิดบทสนทนา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรในความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ฮิจิริคาวะส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะเปิดน้ำล้างภาชนะในอ่าง

               "เพิ่งถามเรื่องนี้น่ะหรอ ก็นะพอบรรยากาศเงียบนายก็คงไม่ชอบนี่เนอะ" นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์เหล่มองมาอย่างรู้ทันก่อนจะเอ่ยตอบคำถามนั้น

               "รู้ทันจริงนะ ฉันก็อยากหาเรื่องชวนคุยนี่นา" คิดตามที่พูด เพราะไม่ได้ชวนคุยเรื่องทั่วไปแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว จินงูจิขยับตัวไปยืนใกล้ๆ แล้วช่วยรับจานที่ล้างน้ำยาแล้วมาล้างให้สะอาด

               "ก็แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันรู้ทันเรื่องนายหมดนั่นแหละ" ขยับยิ้มบางแล้วหันหน้าเอียงคอจ้องมอง

ภาพตรงหน้าทำเอาชะงักจนเกือบทำจานหลุดมือ

               "ให้ตายสิ.." เขารีบวางจานเก็บบนชั้นก่อนจะบ่นพึมพำ มือที่ยังเปียกน้ำอยู่คว้ารวบกอดอีกคนจากข้างหลังในทันที สองแขนโอบไว้ชิดพลางเกยคางบนหัวไหล่

ฮิจิริคาวะบ่นพร้อมขยับตัวขืนเล็กน้อยแต่ก็รู้แก่ใจว่าคงไม่ถูกปล่อยจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วล้างจานต่อไปจนเสร็จ

                    "นี่นายยังไม่ตอบเลย ว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง" จินงูจิคลอเคลียใบหน้าชิดกับหลังต้นคอเอ่ยถามย้ำอีกรอบ

ส่วนมือทั้งสองเริ่มขยุกขยิกบนอยู่ตัวจนฝ่ามือขาวต้องมาคว้าบีบไว้ให้อยู่นิ่ง

               "ก็เหนื่อยนิดหน่อย วันนี้ต้องเลื่อนเวลาถ่ายรายการเพราะฉากไม่พร้อมน่ะ" ฮิจิริคาวะเอ่ยตอบสาเหตุที่ทำให้วันนี้เลิกงานช้ากว่าตารางปกติ

มือคู่นั้นยังไม่เลิกซุกซนจนคนถูกกอดเริ่มมุ่นคิ้ว แถมคนข้างหลังยังเบียดตัวมาแนบชิดจนทำให้ต้องพิงกับขอบอ่างล้างจาน นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์มองไปทางกระทะที่ตั้งทิ้งไว้

               "มันยังไม่เย็นหรอกน่า.. คงอีกสักพัก" ทว่าจินงูจิคงจะรู้ทันเลยพูดขึ้นมาดักไว้ก่อน

ก็เข้าใจอยู่ว่าเกือบเดือนที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกันแบบนี้เลย ไม่ใช่แค่จินงูจิเท่านั้นที่รู้สึกโหยหา แต่ฮิจิริคาวะก็เองก็เช่นกัน ลมอุ่นหายใจรดที่ลำคอ ศีรษะเรือนผมสีน้ำเงินเอนพิงไปด้านหลัง

               "นี่..ฉันยังสวมคัปโปงิ..อยู่เลยนะ.." เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสที่รุกรานมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเอ่ยเตือน

               "ใส่ไว้แบบนี้ก็ได้นี่" จินงูจิเอ่ยเสียงต่ำกระซิบข้างใบหูแล้วกดริมฝีปากแนบลงชิด

คนในอ้อมกอดสะดุ้งตัวก่อนจะร้อนวูบที่หู ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ปลายนิ้วลากบนหลังมือสีแทนก่อนจะผละออกปล่อยให้ขยับตามใจ สันจมูกไถลงบนพวงแก้มขาว ดันให้หันมาสบตา เลื่อนเข้าประกบจูบแผ่วเบารอให้แน่ใจจึงย้ำจูบด้วยรสที่หนักหน่วงขึ้น เปลือกตาทั้งคู่ปิดลงตอบรับสัมผัส ตักตวงเข้าไปยังในโพรงปากด้วยปลายลิ้น ลำตัวบิดเร่าตามฝ่ามือที่ลูบไล้ไปทั่ว ลงคลำที่สะโพกทั้งสองด้านก่อนจะถกผ้าสีขาวให้ขึ้นมาแล้วล้วงมือไปอยู่ข้างใต้ เข็มขัดถูกปลดออกอย่างรวดเร็วก่อนขอบกางเกงจะถูกดึงให้ร่วงลงมากองที่ข้อเท้า ผิวเปลือยที่ช่วงล่างรู้สึกเย็นวูบจนเผลอเกร็ง

               "จินงูจิ.." ฮิจิริคาวะขยับผละจูบออกมาพลางหอบหายใจ แววตาที่กำลังสั่นไหวจ้องไปยังนัยน์ตาคู่สีฟ้า

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกโน้มตามไปหาแล้วเม้มกลีบปาก เลื่อนสองมือบีบคลึงบนเนื้อขาวจนทำให้ผิวกายอุณหภูมิสูงขึ้น

               "ฉันคิดถึงนายจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ..มาซาโตะ" เขาเอ่ยเสียงพร่าส่งสายตาเว้าวอน

ดวงหน้าแต้มไฝเสน่ห์ของคนถูกเรียกชื่อจริงแดงก่ำ เม้มปากแน่นแล้วผงกศีรษะเชิงอนุญาต ร่างกระตุกยามที่ถูกสัมผัสเล้าโลม ขาทั้งสองสั่นระริกเมื่อถูกล่วงล้ำที่เบื้องหน้า แทบจะอ่อนยวบเมื่อได้รับการปรนเปรอ ร่างกายนี้ช่างตอบสนองไวเกินคาดคงเพราะทนคิดถึงสัมผัสจากจินงูจิไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

               "อืม..ถ้าทิ้งไว้...เกินยี่สิบนาที...ซุปจะชืดเอานะ.." เสียงสั่นไปหมด พิงตัวไปหาร่างที่กอดอยู่ข้างหลัง

               "เข้าใจแล้ว~" จินงูจิหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบรับ



               หยดเหงื่อไหลไปตามแขนเรียวลงมาหยุดบนที่ข้อมือซึ่งวางเท้าไว้กับขอบของเคาน์เตอร์ครัว ปลาบเล็บจิกลงขณะใช้มือยันร่างไว้รองรับแรงโถมจากด้านหลัง ฮิจิริคาวะส่งเสียงครางปนหอบหายใจแรง ริมฝีปากสั่นเทิ้มบิดตัวงอตามความกระสันจากสัมผัสวาบหวาม เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังอยู่ที่ท่อนล่าง บั้นเอวถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองจนเป็นรอยแดง กายที่สอดประสานกันขยับเป็นจังหวะเร่งเร้าชวนเสียววาบที่ช่วงท้อง ติ่งหูถูกขบเม้มหยอกขณะกระซิบปลอบโยนด้วยถ้อยคำหวาน ปรือตามองก็เห็นเส้นผมส้มทองคลอเคลียอยู่ข้างศีรษะ

               "เร็น..." เรียกด้วยเสียงแผ่ว กลีบปากวาดยิ้มให้อย่างยั่วยวน

และก็ถูกช่วงชิงไปด้วยรสจูบร้อนแรงในทันที สะโพกแอ่นโก่งรับเป็นอย่างดี ปล่อยให้เนื้อตัวถูกปรนเปรอตามที่มอบให้ อารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้เต็มไปด้วยความใคร่รักและลุ่มหลง ทั้งสองต่างกำลังเติมเต็มความโหยหาซึ่งกันและกัน ช่วงเวลานี้มีเพียงพวกเขาแค่นั้น จนในที่สุดก็พากันมาถึงปลายทาง

ทุกความปรารถนาที่อัดอั้นได้ถูกปลดปล่อยจนล้น ท่อนขาสั่นเปื้อนเยิ้มด้วยของเหลว ผืนผ้าสีขาวยับยู่ยี่เปรอะเหนียวไปหมด แทบจะทรุดฮวบเมื่อจินงูจิถอนกายออกมา สองแขนช่วยประคองตัวไว้อย่างทะนุถนอม กดริมฝีปากลงไล่หอมแก้มระเรื่อ

               "นายทำอาหารต่อเองแล้วกัน...ฉันคงยืนไม่ไหวแล้ว" ฮิจิริคาวะเอ่ยอย่างยิ้มขำ ตอนแรกก็อยากโกรธที่ทำคัปโปงิเปื้อนขนาดนี้ แต่ตัวเองก็มีส่วนผิดด้วย อย่างน้อยก็ขอเอาคืนเรื่องอื่นก็ยังดี

               "แย่เลยนะ กว่าจะเสร็จคงเที่ยงคืนเลย แต่ก็ยังดีที่ได้กินมื้อพิเศษรองท้องไปแล้ว" จินงูจิหัวเราะแล้วยิ้มกริ่ม

เขายกตัวอีกคนขึ้นอุ้มอย่างง่ายดายก่อนจะพาไปล้างตัว หลังจากเรียบร้อยดีก็ช่วยแต่งตัวสวมชุดใหม่แล้วพยุงมานั่งรอที่โต๊ะอาหาร
พอเดินกลับมาที่ครัวก็ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นซุปในกระทะเย็นหมดแล้ว ดูท่าคงจะต้องใหม่อีกรอบก่อนเอาไปปั่นซึ่งเสียงบ่นก็ดังไล่หลังมาจากคนที่นั่งรออยู่

สักพักใหญ่จึงค่อยยกไปเสิร์ฟให้ถึงที่พร้อมขนมปังที่ซื้อมา คนที่นั่งอยู่ทำท่าสนใจขนมปังมากกว่าซุปแครอทที่ช่วยกันทำเสียอีก ก็เรื่องปกติล่ะนะ

               "ทานแล้วนะครับ" เร็นเอ่ยพูดพร้อมอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มกินมื้อเย็นที่ข้ามวันไปแล้ว

แต่ถึงเวลาจะไม่ใช่แต่บรรยากาศแบบนี้ที่มีอีกคนอยู่ด้วยก็ทำให้เป็นมื้อเย็นมากกว่าครั้งไหนๆ


และพรุ่งนี้ก็จะได้มีมื้อเช้ากันอีกด้วย



-END-


10.13.2561

[oneshot utapri] Redacted (RenMasa)

fan-fiction utapri

Title: Redacted
Pairing: Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
A/N: เป็นวันช้อตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธีม AGF ปีนี้ ไม่ได้เขียนมาสักพักใหญ่ ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะเขียนจบได้ทั้งที่เป็นเรื่องสั้นแท้ ๆ ใช้เวลาอ่านน่าจะแค่ 3 นาที แต่เราเขียนเป็นอาทิตย์เลยนะ 555





               เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น ฝ่ามือขาวยกมาบังไว้ ท่าทางของชายหนุ่มดูไม่สู้ดีนัก ผมสีน้ำเงินชื้นเหงื่อหยดไหลลงมาตามกรอบหน้า ในลำคอยังไม่หายระคาย ต้องยันกายลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ผ้าปูที่นอนซุกอยู่เมื่อครู่มีไอร้อนติดอยู่จาง ๆ นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์กวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสลดลงเล็กน้อยเมื่อไม่พบผู้ที่ตนคาดหวังว่าจะอยู่

จะลุกเดินไปหยิบยาเพียงยืนก็ยังจะไม่ไหว นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุร่างกายนี้ก็อ่อนแอลง เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้ต้องสูญเสียความทรงจำไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดมีแค่ 'จินงูจิ เร็น' เท่านั้นที่เป็นผู้เล่าเรื่องราวและคอยช่วยเหลือดูแล รอยแผลที่หลังยังคงเจ็บเป็นระยะ น่าจะยังไม่หายขาดเพราะต้องพันผ้าปิดไว้ เพราะไม่อยากเป็นภาระจึงเสนอจะทำเองแต่ก็ถูกค้านทุกครั้ง นึกแปลกใจอยู่ว่าก่อนหน้านี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ทุกรอบที่ถามจะได้รับคำตอบว่า 'เป็นสิ่งสำคัญ'

บานประตูถูกเปิด คนข้างในห้องหันมองไปทางที่ว่า เห็นหลังของผู้กำลังปิดประตู เรือนผมสีทองยาวประบ่าทำให้รับรู้ว่าคือคนที่คุ้นเคย เจ้าของร่างหันมาขยับยิ้มดั่งเช่นทุกที

               "ตื่นแล้วหรอ เป็นยังไงบ้าง?" ตรงเข้ามานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

ริมฝีปากซีดยิ้มตอบให้จินงูจิ

               "ดีขึ้นกว่าวันก่อน แต่ยังเจ็บที่หลังอยู่เลย" ไม่ทันจบประโยคดี เสียงไอก็ดังขึ้นมาอีก

เมื่อได้ยินอีกคนจึงลุกไปหยิบขวดยามาแล้วส่งให้ เมื่อคนป่วยปิดฝายกดื่มแล้วจึงใช้แขนโอบให้มาพิง ชิดจนได้เสียงหายใจหอบอ่อน ๆ จากความเหนื่อย ฝ่ามือเลื่อนไปลูบที่เส้นผมสีน้ำเงินอย่างปลอบโยน

               "ฉันจะคอยดูแล ไม่ทิ้งนายไปไหน" เปี่ยมไปด้วยความจริงจัง

ดั่งที่พูดก็เป็นจริง เพราะไม่เคยที่จะปล่อยให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน เพิ่งจะมีวันนี้เป็นหนแรกที่ตื่นมาแล้วไม่พบหน้า เหมือนว่ากลัวจะหายไป

               "แต่ฉันเกรงใจนาย ฉันจำนายไม่ได้ด้วยซ้ำ" รอยยิ้มเจื่อนลง ผละตัวออกมาเว้นระยะไว้เล็กน้อยก่อนจะเงยมอง

               "ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ รู้ไว้แค่ว่านายสำคัญกับฉันก็พอ" สบตากลับยามเอ่ยพูด

ปลายนิ้วแตะลงที่แต้มไฝเสน่ห์ใต้ตาขวา วางมือประคองใบหน้าด้วยความถะนุถนอม

สองมือขาวยกขึ้นบ้าง เอือมวางไว้ที่เรือนผมสีทอง ลูบไล่ลงมาเกาะเอาไว้ที่แผ่นหลัง สัมผัสที่มีสิ่งต่างจากมนุษย์ทั่วไป ฝ่ามือวางลงบนปีกสีดำคล้ายค้างคาวแต่มีขนาดใหญ่

นึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าเคยพบกับปิศาจได้อย่างไร และทำไมปิศาจตนนี้ถึงได้มอบความสำคัญมาให้มากมายขนาดนี้

               "ฉันเป็นแค่มนุษย์นะ เป็นสิ่งที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับนาย" เอ่ยด้วยเสียงเบา แต่โอบปีกและหลังอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้น ส่วนลึกในใจรู้ดีว่าอายุขัยของมนุษย์ช่างสั้น และยิ่งสุขภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้คงเป็นได้แต่ภาระ

ปิศาจชะงักมือที่ลูบเรือนผมและเงียบไปครู่หนึ่ง

               "ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ นายไม่ได้อ่อนแอเสียหน่อย" พูดเสียงเบา ไล้นิ้วแทรกไปตามเส้นผมนุ่ม นิ่งปล่อยให้ถูกกอดไว้แบบนั้น

               "นายเป็นปิศาจที่ใจดีจังนะ น่าเสียดายที่คนอื่นมักจะเหมารวม" คลายอ้อมแขนออกแล้วเงยขึ้นจ้องด้วยใบหน้าที่ดูเหนื่อยอ่อน

ปิศาจผละฝ่ามือออก เลื่อนลงมาทาบหลังมือไว้บนข้างแก้มพร้อมคลี่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมในปาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวแต่อย่างใด กลับมีแต่ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นสำหรับตน ชายหนุ่มผมสั้นยิ้มตอบเอียงศีรษะรับสัมผัสที่แนบหน้าอยู่

               "ฉันพยายามนึกเรื่องของนายแต่ก็นึกไม่ออกเลย เหมือนกำลังเอาเปรียบนายที่ต้องมาคอยอยู่กับคนที่ลืมเรื่องราวของตัวเองไปจนหมด กลายเป็นคนแปลกหน้า" ดวงตาหลบลงเบื้องล่าง เม้มปากพยายามยื้อรอยยิ้มคงไว้

ความรู้สึกน้อยใจในตัวเองที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะจำได้ ทั้งที่ได้รู้ว่าสำคัญแค่ไหนแต่จะไม่หลงเหลือเอาไว้แต่สักนิดเลยหรือ

               "ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย อย่าโทษตัวเองเลยนะ ยังไงเราก็ทำความรู้จักกันใหม่ได้ไม่ใช่หรอ" ใช้ปลายนิ้วดันคางเบา ๆ ให้เงยหน้าขึ้นมา ซบหน้าผากลงชิดกัน

เปลือกตาทั้งคู่ปิดลงและค้างแบบนั้นอยู่เนิ่นนาน สงบใจราวเป็นที่พักพิง มนุษย์ผู้อ่อนแอไม่มีที่ไป ซ้ำยังโชคร้ายจำสิ่งใดไม่ได้ หากไม่มีปิศาจตนนี้ช่วยเอาไว้ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะเป็นอย่างไร

               "ความทรงจำเรื่องที่เกี่ยวกับนาย..ฉันรู้สึกเสียดายที่ลืมมันไป" พูดกระซิบแผ่ว ใกล้แทบจรดริมฝีปาก สันจมูกอิงแนบรับรู้ลมหายใจอุ่นกันและกัน

               "ไม่ต้องฝืนหรอก แค่ที่เป็นในตอนนี้..ได้อยู่ด้วยกันก็นับเป็นความทรงจำที่ดีแล้วไม่ใช่หรอ" ฝ่ามือเลื่อนลงแทรกประสานนิ้วเข้าไว้ด้วยกัน กุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวจะหลุดมือไป

คนได้ฟังมุ่นคิ้วอย่างสงสัยในประโยค ปรือตาขึ้นมองก่อนตั้งคำถาม

               "นายพูดเหมือนก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นอย่างนั้นหรอ?" ถอยตัวออกมาแล้วสบตารอคำตอบ

ในแววตาปิศาจสลดลงจนสังเกตได้ดั่งถูกสะกิดปมในใจ ฝ่ามือออกแรงบีบมากขึ้นอย่างลืมตัว

               "..ฉ-ฉัน..เจ็บ" ชายหนุ่มส่งเสียงร้องบอกพร้อมทั้งนิ่วหน้า พยายามดึงมือออกมาก่อน

เมื่อปิศาจได้ยินจึงได้สติกลับคืน รีบคลายมือทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

               "ฉันขอโทษ.." จินงูจิถอยตัวออกห่างกำมือตนเองแน่นก่อนจะไปไขว้หลบไว้ที่ข้างหลัง กลัวว่าจะเผลอทำอันตรายอีก

ทว่าอีกคนนั้นกลับเขยิบตัวตาม เลื่อนไปคว้าแขนดึงให้ยื่นมือกลับมา ปิศาจเงยมองด้วยความลังเลแต่ก็ยอมให้จับมือไว้ตามเดิม

               "ไม่เป็นไรหรอก คงเป็นเรื่องที่นายไม่อยากนึกถึงสินะ" ดึงฝ่ามือมาแนบไว้ที่กลางอก ดวงตาช้อนมองหาแววตาที่เสหลบไปทางอื่น

ปิศาจเม้มปากแน่นก่อนจะยอมสบตากลับ มองลึกเข้าไปเผยความเศร้าสร้อยที่ซ่อนอยู่ รับรู้ได้ถึงความอ่อนแอและหวั่นไหว ชวนให้ใจกระตุกวูบตาม จังหวะการเต้นในอกสั่นระรัวจนเจ้าของฝ่ามือที่วางทาบไว้อยู่รู้สึกได้

               "นี่ ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว อย่าทำหน้าเศร้าเลยนะ ฉันจะไม่ถามนายเรื่องในอดีตอีก" มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมวางทาบบนหน้าของปิศาจ ไล้ปลายนิ้วโป้งกดลงที่มุมปากที่ตกลงจนกระทั่งยอมคลายแล้วยกขึ้นแทน

               "นั่นสินะ.. ตอนนี้นายก็อยู่ตรงนี้ด้วยกันแล้ว" ขยับมือที่แนบอกมาวางไว้ที่ต้นแขน ลูบไล่ลงมาเพื่อสัมผัสตัวเสมือนจะย้ำว่าคนตรงหน้ายังอยู่ด้วยจริง ๆ

ริมฝีปากซีดคลี่ยิ้มบางเขยิบตัวหันหลังเอนพิง ฤทธิ์ยาที่ได้รับทำให้รู้สึกงัวเงีย คงจะได้เวลาที่ต้องพักผ่อน เปลือกตาปิดลงปล่อยลมหายใจยาว หัวไหล่ถูกจับประคองไว้ให้กลับมานั่งตามเดิมก่อน จนต้องปรือตามองอย่างสงสัย

               "นายต้องทำแผลก่อนนะ" ปิศาจเอ่ยบอก

คนป่วยพยักหน้ารับแม้จะรู้สึกอยากนอนแล้วก็ตาม นั่งนิ่งอยู่บนเตียงระหว่างที่รออีกฝ่ายนั้นเดินไปหยิบอุปกรณ์มาเปลี่ยนผ้าพันแผล รู้เพียงว่าข้างหลังมีรอยแผลที่ยังคงไม่หายดี และจะเจ็บเป็นระยะตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น

สองมือปลดกระดุมเสื้อออก ถอดวางไว้ข้างตัว ที่ส่วนอกมีผ้าขาวพันปิดไว้รอบ หันมองปิศาจที่เดินกลับมานั่งตามเดิม ผ้าพันแผลเก่าถูกแกะออกอย่างระมัดระวัง สองแขนยกขึ้นไว้ระดับศีรษะอำนวยความสะดวกให้


ปิศาจก้มลงมองแผ่นหลังเปลือย เอื้อมมือลงไปใกล้ยังแผลที่ว่า นัยน์ตาคู่สีฟ้าหรี่จ้องร่องรอยที่หลงเหลือ




               "หยุด!! นายคิดจะทำอะไร!!"
เสียงตะโกนดัง แผดร้องด้วยความหวาดกลัว ฝังลึกในโสตประสาทวนเวียนแว่วให้ได้ยินอยู่ซ้ำครั้ง


               "ไม่.. อย่า..ทำแบบนี้"
สะอึกสะอื้นเอ่ยอ้อนวอน หยาดน้ำตาที่อาบบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหวาดกลัว เป็นภาพที่ยากจะลืมเลือน


               "อย่า..ตัด..ปีกของฉัน..."
กรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ในดวงตาของเทวดาจ้องมองปิศาจผู้ตัดปีกตนอย่างสิ้นหวัง


ส่งเสียงร้องระงมท่ามกลางขนสีขาวที่ปลิวว่อน


หากไร้ซึ่งปีกก็สูญสิ้นทุกสิ่ง


จิตใจแตกสลายจนไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งใดอีก




ขนนกสีขาวร่วงหล่นลงมาเมื่อดึงผ้าพันแผลออก นัยน์ตาคู่สีฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เอื้อมลงหยิบแล้วขยำคาไว้ในฝ่ามือ บางส่วนของปีกนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกลับคืนดังเดิมได้อีกต่อไป

หยดยาลงใส่ที่รอยแผลแล้วพันผ้าไว้รอบเพื่อปกปิด ประคองร่างให้เอนลงนอนบนเตียงนุ่ม เอนกายตามไปอยู่เคียง ลูบเส้นผมสีน้ำเงินอย่างแผ่วเบา จนกระทั่งเปลือกตาปิดลงเข้าสู่นิทรา ลูบไล้ดวงหน้าของร่างที่นอนนิ่ง โน้มลงหาแนบจุมพิตลงประทับยังกลีบปาก เฝ้ามองผู้หลับใหลอย่างไม่ห่างกาย


               "ฉันจะไม่ปล่อยนายไปจากฉันอีก.."



ช่วงชิงซึ่งอิสระ เพื่อกักขังเอาไว้


ต่อให้ถูกเกลียดชัง เพียงได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาลก็ยอม



-end-