Title : Shaving
Pairing : Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
Rate : PG-15
Note: พล็อตพล็อตที่เคยคิดไว้ว่าอยากลองแต่งดูมาสักพักแล้ว เพิง่จะมีไฟปั่นออกมา ที่เขาว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน(..ถูกมั้ยน่ะ55)สินะ แต่ก็ยังคิดว่ายังบรรยายได้ไม่ถึงจุดที่ต้องการสื่ออยู่ดี อยากให้ฉากมันดูเซ็กซี่กว่านี้แต่ก็ทำได้แค่นี้ ฮือ
TLในฟิคเรื่องนี้จะเป็นช่วงที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันแล้วละค่ะ (น่าจะประมาณวัย30+)
“ฉันบอกเคยแล้วไงว่ามันจั๊กจี้”
เสียงท้วงดังขึ้นพร้อมกับมือขาวที่ออกแรงดันให้ใบหน้าคมของหนุ่มผิวแทนออกห่าง
คิ้วคู่ขมวดมุ่นแสดงอาการไม่พอใจที่ถูกขัด เขาลองสบตาเผื่อพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง ทว่าแววตาคู่อเมทิสต์ที่จ้องมานั่นฉายแววจริงจังกับคำปรามและคงไม่ใจอ่อนง่ายๆดังเช่นที่ผ่านมา
สุดท้ายแล้วเลยต้องยอมผละตัวลุกจากการคร่อมร่างอีกฝ่ายแล้วกลับมานั่งบนโซฟาตามเดิม
โดยที่เขยิบเว้นระยะห่างไว้พอให้รู้ว่ากำลังน้อยใจ
คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่พอได้เห็นแบบนี้ก็ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย
ริมฝีปากขยับยิ้มบางพลางยันกายให้กลับมานั่งพิงเบาะนุ่ม พอเห็นว่าคนขี้งอนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหายจึงลองเอื้อมนิ้วไปจิ้มข้างแก้ม
..สัมผัสสากจากไรหนวดเคราซึ่งทิ่มบนปลายนิ้วทำให้ต้องดึงมือกลับอัตโนมัติ
เร็นที่ยิ่งเห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งทำหน้าบึ้งกว่าเก่า
“นี่..งอนเป็นเด็กไปได้น่า”
ฮิจิริคาวะเอ่ยขณะเลื่อนตัวเข้าไปนั่งให้ชิดกัน
นัยน์ตาสีฟ้าสว่างเหล่มองมาก่อนจะเคลื่อนหลบไปทำทีเป็นไม่สนใจ
“ก็ฉันไม่ชอบเวลาที่หนวดนั่นมันทิ่มหน้า
บอกให้โกนออกก็ไม่ยอมเองไม่ใช่รึไงล่ะ” ยอมเป็นฝ่ายง้อทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด
ในเมื่อยังไม่ยอมหายแบบนี้ก็ขอเป็นฝ่ายโกรธเองบ้างก็แล้วกัน
กล่าวเสร็จฮิจิริคาวะก็ลุกขึ้นพร้อมกับเชิดหน้าใส่น้อยๆ
ไม่ต้องรอให้เดินหนีข้อมือก็ถูกคว้าไว้แล้วกระตุกเรียกให้หันมอง ชายผมสีน้ำเงินเข้มปั้นหน้าเรียบเหล่สายตากลับไปพลางเลิกคิ้ว
“ก็มันเป็นงาน
ฉันก็บอกนายแล้วเหมือนกันว่าถ้าปิดกล้องเมื่อไหร่ค่อยโกนออกน่ะ” เขาพูดเสียงค่อยคล้ายพึมพำ
ในตอนนี้เขากำลังรับงานแสดงภาพยนตร์เรื่องใหม่อยู่ ด้วยบทที่ได้รับผู้กำกับอยากจะให้คนแสดงไว้เคราจริงมากกว่าแต่งเอา
ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งจะเคยไว้เพราะส่วนมากมักจะโกนทุกครั้งก่อนจะขึ้นมาให้สังเกตเห็นได้
และแน่นอนว่าฮิจิริคาวะเองก็ไม่ค่อยอยากให้เขาไว้หนวดหรือเคราเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้ก็งดเอาหน้าเข้ามาใกล้ฉันก็แล้วกัน”
ฮิจิริคาวะกล่าวย้ำและแกะมือที่รั้งไว้ให้หลุดออก
ดูท่าจะไม่ชอบอย่างมากเลยด้วย
ที่จริงแล้วหมอนี่ก็บ่นตั้งแต่ช่วงแรกแล้วด้วย ตอนที่เขาเอาหน้าไปซุกตัวก็สะดุ้งแล้วโวยวายใส่ว่าทำไมถึงปล่อยให้ขึ้น
แต่กว่าจะถ่ายทำเสร็จก็อีกตั้งอาทิตย์กว่า
“แค่ไม่ให้โดนก็ได้งั้นสินะ?”
ไม่งั้นเขาคงจะเฉาก่อนงานจะจบพอดี
เร็นลุกขึ้นยืนเลื่อนมือลงโอบไว้ที่เอวอีกฝ่าย เขาขยับยิ้มขณะที่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆแต่แล้วมาซาโตะกลับใช้มือยันหน้าเขาไว้ไม่ให้เข้ามาชิดกว่านี้เสียอย่างนั้น
“อะไรอีกเล่า?”
ครั้งนี้เขาไม่ยอมและพยายามใช้หน้าดันกลับไป
“จูบก็ไม่ได้เหมือนกัน!”
ฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุๆพยายามเลื่อนมือไปปิดปากคนที่ทำหน้าฉงนใส่
“หา..?”
เขาที่ได้ฟังก็ขัดใจหนักกว่าเก่าและพยายามดึงมืออีกคนออกไปให้พ้นทาง
แต่เหมือนทางนั้นเองก็ไม่ยอมหนำซ้ำยังใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่มาจิ้มที่เอวเขาจนเผลอสะดุ้งกระเด้งตัวถอยกลับไปตั้งหลัก
“นี่มันจะเยอะไปแล้วนะ!”
ชักจะไม่พอใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
เร็นถอนหายใจใส่ รอยยิ้มกะล่อนนั่นหายไปจากใบหน้าเหลือแต่คิ้วผูกปมและริมฝีปากที่เป็นเส้นตรง
“ก็มันตำหน้าฉันอยู่ดีนี่
อย่างที่ฉันบอกจนกว่านายจะโกนเคราออกระยะนี้ก็งดไปสักพักก็แล้วกัน” ฮิจิริคาวะพูดย้ำเหมือนต้องการที่จะยื่นคำขาดแก่เขา
อยากจะเถียงอยู่หรอกแต่จากสายตาแข็งๆของคนที่ยืนกอดอกซึ่งจ้องเขาในตอนนี้แล้วหากยังไม่มีฝ่ายไหนยอมคงจะได้ทะเลาะกันจริงๆ
ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยโต้เถียงกันเพราะต่างคนต่างดื้ออยากจะเอาชนะ
แต่นั่นมันเป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้ว
และเขาเองก็ไม่อยากจะถูกหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตด้วย..
“ก็ได้..”
สุดท้ายก็ต้องยอมตอบตกลงแม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
ระหว่างที่ก้มหน้าซึมนั่นเองศีรษะก็ถูกฝ่ามือวางประคองรั้งไว้ที่ด้านหลัง
ไม่ทันจะได้เงยขึ้นมองก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มอุ่นของกลีบปากที่ทาบลงบนหน้าผาก
“ดีมาก”
มาซาโตะพูดเหมือนกำลังเอ่ยชมเด็กๆพร้อมกับลูบปลอบกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลทองนั่น
เมื่อเขาเหลือบขึ้นจ้องสายตาก็ประสานเข้ากับรอยยิ้มอ่อนโยนของมาซาโตะที่ส่งมาให้
เร็นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวด้วยความเขิน
ถ้าเป็นแบบนี้จนถึงวันปิดกล้องก็คงจะไม่เฉาตายไปก่อนล่ะนะ..
“กลับมาแล้ว”
เสียงดังมาจากผู้ที่ก้าวเข้ามาในคอนโด
เสื้อคลุมสีขาวตัวยาวถูกแขวนไว้บนเสาข้างกำแพง รองเท้าหนังแบรนด์ดังถูกหยิบวางเก็บไว้บนชั้น
สองขายาวเดินทอดตรงมาทางโซฟานุ่มทิ้งตัวลงนั่งด้วยความล้า ฝ่ามือยกเสยเส้นผมน้ำตาลทองที่ปรกใบหน้าให้ขึ้นไปด้านบนเอนคอพิงพนักพักให้หายเหนื่อย
“วันนี้ปิดกล้องแล้วสินะ”
คนที่อยู่ข้างในครัวชะเง้อหน้าออกมาทักหลังจากได้ยินเสียงของคนที่เพิ่งกลับมา
“อืม..มีเลี้ยงฉลองปิดกล้องด้วยน่ะเลยกลับมาช้ากว่าที่คิด”
เร็นกล่าวพร้อมกับมองตามอีกคนที่ยกถ้วยสองใบออกมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวกลางห้อง
ก่อนที่หมอนั่นจะเดินกลับเข้าไปยังในครัวอีกรอบ
“ก็กะไว้แล้วล่ะว่านายคงจะทานมื้อเย็นมาจากที่นั่นแล้ว”
คราวนี้เดินกลับมาพร้อมผ้าขนหนูสีขาวที่กำลังห่ออะไรไว้อยู่และกล่องกระดาษที่บรรจุสิ่งที่น่าจะเป็นขวด
“มานั่งนี่สิ”
เสียงลากเก้าอี้ดังขึ้นก่อนฮิจิริคาวะจะหันหน้าไปมองคนที่นั่งไขว่ห้างที่โซฟา
เขาเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยแต่ก็ลุกเดินไปหา
“นายเตรียมมื้อเย็นให้ฉันอีกหรอ?...หืม??”
พอเข้าไปถึงระยะหนึ่งยังไม่ต้องชะเง้อมองก็ได้กลิ่นที่เขาพอจะรู้ได้ว่าไม่ใช่อาหาร
และยังคุ้นอีกเสียด้วย
พอเห็นว่าเขายืนแบบงงๆมาซาโตะก็รีบกดไหล่ดันให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะคว้าผ้ามาผูกให้เหมือนผ้ากันเปื้อน
“เดี๋ยวสิ..นี่นาย..”
เขาแหงนคอเหลือบสายตาจ้องคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เงาสะท้อนสีเงินของสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้เดาได้ว่าตอนนี้หมอนั่นกำลังจะทำอะไร
“ก็นายตกลงแล้วนี่ว่าพอปิดกล้องจะโกนเจ้าเคราหนามๆนี่ออกน่ะ”
ไม่พูดเปล่าแต่ใช้นิ้วจิ้มลงที่ปลายคางทดสอบถึงความแหลมซึ่งคอยตำผิวตนที่ว่าด้วย
“อ่า..ฉันจัดการเองได้น่า
อีกอย่าง..มีดที่นายใช้มันจะไม่ดู..ดั้งเดิม..ไปหน่อยหรอ” เขากะพริบตามองใบมีดคมกริบที่อีกฝ่ายถือไว้
“จะบอกว่าของ ‘โบราณ’
สินะ
กลัวฉันพลาดปาดคอนายล่ะสิ” มาซาโตะกล่าวยิ้มขำพร้อมทั้งประคองลำคอของจินงูจิให้แหงนได้องศาที่พอดี
“ไม่ใช่อย่างนั้น..
แต่แบบนี้ก็คงตื้นเต้นไปอีกแบบดีล่ะนะ” เร็นว่าพลางหัวเราะ
เขาได้ยินเสียงแกะพลาสติกที่ห่อกล่องกระดาษออกตามมาด้วยเสียงเปิดหยิบขวดออกมาตั้ง
เร็นแอบเหลือบมองก็เห็นว่าขวดใบนั้นก็คือครีมโกนหนวดที่กำลังถูกบีบออกมาใส่ฝ่ามือ
ครีมนุ่มสีขาวถูกทาลงที่ใต้คางไล่ขึ้นมาตามไรหนวด
สัมผัสเย็นของโลหะที่จ่อแถวลำคอทำให้หวั่นใจจนเผลอนั่งตัวเกร็ง
“นายแน่ใจนะว่าเคยใช้มีดโกนแบบนี้มาก่อนน่ะมาซาโตะ?”
ตอนนี้เริ่มจะลังเลเสียแล้ว
เร็นช้อนสายตาจ้องคนที่ทำหน้าขะมักเขม้นกับการใช้ใบมีดปาดลงบนครีมสีขาว
“แล้วนายคิดว่าฉันโกนหนวดตัวเองยังไงล่ะ?
อยู่เฉยๆซะถ้าไม่อยากเลือดออก” ฮิจิริคาวะขู่และใช้มือข้างที่ว่างจับล็อคให้ศีรษะคนผมทองอยู่กับที่
ใบมีดไล่โกนเส้นขนจากบริเวณสันกรามทีละเล็กน้อย
ดูจากสีหน้าแล้วคงต้องเพ่งสมาธิมากเลยทีเดียว
เร็นขยับยิ้มบางขณะมองใบหน้าของมาซาโตะที่อยู่ห่างจากเขาแค่ระยะลมหายใจ
“แล้วถ้านายเผลอทำมีดบาดฉันขึ้นมาจริงๆล่ะ?”
เขาแกล้งพูดหยอกขึ้นมาระหว่างที่อีกฝ่ายยกใบมีดออกเพื่อย้ายมาที่แก้มอีกฝั่งบ้าง
“นายก็เอามีดปาดฉันคืนแล้วกัน”
ฮิจิริคาวะพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงนิ่งจนแยกไม่ออกว่ากำลังพูดจริงหรือล้อเล่น
เขาหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายดุให้เงียบเพราะมันทำให้หน้าของเขาขยับไปด้วย
จนกระทั่งไล่มาถึงที่ใต้คาง มาซาโตะดันหน้าผากของเขาลงมาอีกเพื่อให้แหงนหน้าขึ้นจนพิงร่างด้านหลังพอดี
ศีรษะของอีกฝ่ายก็โน้มลงมาใกล้กว่าเก่าเช่นกัน ลมหายใจอุ่นระที่ลำคอ ปลายนิ้วนุ่มแตะลงที่ปลายคางออกแรงยึดเล็กน้อยเพียงพอที่จะคุมไม่เกิดการขยับเขยื้อน
ความเย็นของมีดลากผ่านลำคอของเขากวาดครีมส่วนที่เหลือให้หลุดออกไป
ระหว่างนั้นเองที่สายตาของพวกเขาสบกันพอดี
รอยยิ้มถูกวาดขึ้นบนดวงหน้าที่แต้มไฝเสน่ห์แล้วเบนสายตาออกจากเขาเพื่อไปสะสางส่วนที่เหลือต่อให้เสร็จ
“เรียบร้อยแล้ว”
มาซาโตะกล่าวและวางมีดลงบนโต๊ะ
ผ้าขนหนูสีขาวถูกหยิบมาชุบน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ในถ้วยแล้วยกขึ้นบิดให้หมาดเพื่อนำมาเช็ดตามรอยที่เพิ่งถูกโกนหนวดทิ้ง
เร็นหลับตาพริ้มขณะที่อีกคนเช็ดตามปลายคางให้ ด้วยความน่าหมั่นไส้นั้นผ้าขนหนูทั้งผืนจึงถูกใช้คลุมปิดทั้งใบหน้าแล้วขยี้ๆด้วยแรงที่ไม่มากนักก่อนจะตบท้ายด้วยการบีบจมูกไว้
“ฉันหายใจไม่ออกนะ”
เร็นเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้และพยายามดึงผ้าบนหน้าออก
พอสาแก่ใจอีกฝ่ายแล้วเขาจึงกลับมาหายใจได้ดังเดิม
ระหว่างที่รอฮิจิริคาวะเก็บข้าวของอยู่นั้นเขาก็ใช้นิ้วลูบปลายคางดูก็พบว่าแทบไม่ต่างจากเวลาที่เขาใช้ที่โกนหนวดโกนเองเสียเท่าไหร่
ถึงแบบนี้จะเมื่อยคอไปบ้างแต่ยังไงวิวก็ดีกว่าเห็นๆ
เขาเดินตามอีกฝ่ายไปเพื่อช่วยล้างทำความสะอาดของที่ใช้แต่ดันถูกบอกให้รออยู่เฉยๆเนื่องจากครั้งล่าสุดที่ไปช่วยล้างจานนั้นเขาทำจานแตกไปสองใบ..
ไม่ใช่เพราะมือลื่น..แต่เพราะมัวแต่เล่นกับอีกฝ่ายจนเผลอกวาดจานที่วางบนอ่างล้างตกแตก
“เสร็จแล้วหรอ?”
เขาเอ่ยถามเมื่อเสียงของน้ำจากก๊อกหยุดไหลไป
“อืม” มาซาโตะที่ยกของไปเก็บเอ่ยตอบ
เขารอจนอีกฝ่ายนั้นทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงเดินตรงเข้าไปหา
“มีอะไรอีกรึไง?”
ฮิจิริคาวะเอียงคอถามกับท่าทีแปลกๆของเร็น
เขาไม่ได้ตอบแต่ช้อนร่างของอีกคนขึ้นมาแล้วพาเดินไปยังโซฟาเพราะระยะมันใกล้ที่สุด
...ถึงถัดไปจะเป็นห้องนอน แต่ว่าสำหรับเขาในตอนนี้
เพียงวินาทีเดียวก็รอไม่ได้อีกแล้ว
“เร็น??”
มาซาโตะที่ถูกวางนอนบนโซฟาเบิกตากว้างพยายามจะดันคนที่กำลังขึ้นคร่อมตัว
“ตอนนี้หน้าฉันเกลี้ยงแล้วนี่นา~”
ชายหนุ่มขยับยิ้มอย่างมีเลศนัยเลื่อนมือจับที่สาบของยูกาตะก่อนที่จะแหวกออกกว้างเผยผิวขาวที่รอยอะไรๆได้จางไปหมดแล้ว เขาไถใบหน้าซุกไซ้ไปตามผิวกายที่ห่างจากการสัมผัสมานาน
มาซาโตะถอนหายใจออกมาคล้ายรู้สึกหน่ายๆ
“ยังไงฉันก็พูดไปแล้วนี่นะ..”
สองแขนเรียวโอบไว้รอบหลังคอของเร็นเลื่อนนัยน์ตาอเมทิสต์สบตรงๆกับสีฟ้าใสคู่นั้น
ฝ่ามือขยุ้มจิกเบาๆบนเส้นผมน้ำตาลทอง มาซาโตะขยับยิ้มหวานก่อนจะหลับตาลงรับทุกสัมผัสที่เข้าครอบครองทั้งร่าง
เสียงพร่ำบอกปลอบโยนอย่างใคร่รักจากเร็นแม้จะเป็นคำซ้ำๆก็ไม่เคยทำให้รู้สึกเบื่อ
ร่างเพรียวขยุกขยิกเพราะมือซุกซุนที่เลื่อนคลายโอบิสีดำ แก้มขาวต้องขึ้นสีแดงก่ำยามที่สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากไล่ฝากรอยไปทั่วตัว สันจมูกโด่งใส่สูดกลิ่นกายหอมนับตั้งแต่ใบหู ลำคอ หัวไหล่มน
ร่างเพรียวขยุกขยิกเพราะมือซุกซุนที่เลื่อนคลายโอบิสีดำ แก้มขาวต้องขึ้นสีแดงก่ำยามที่สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากไล่ฝากรอยไปทั่วตัว สันจมูกโด่งใส่สูดกลิ่นกายหอมนับตั้งแต่ใบหู ลำคอ หัวไหล่มน
ใบหน้าของเร็นโน้มลงใกล้เข้ามาเรื่อยๆกระทั่งแนบริมฝีปากเข้าชิดเพื่อมอบจูบแผ่วเบาบนกลีบปากนุ่ม
สัมผัสอ่อนโยนอยู่ได้เพียงไม่นานก็เริ่มทวีเป็นร้อนแรงมากขึ้นด้วยความโหยหามาตลอดทั้งอาทิตย์
และคงอีกพักใหญ่กว่าจะชดได้หมด
-END-