Fan-fiction Utapri
Title : ♥Kill game♠
Pairing(?) : Ren x Masato x Camus
Warning : 3P!! , AU
Rate : 15+
Rate : 15+
Note : สูบพลังงานเหลือเกิน...และอาจเมาตามคนแต่งได้, คงมีจุดที่งงๆอยู่บ้าง(เยอะแน่ๆ) ขออภัยด้วย ฮือ ห่างจากการพิมพ์อะไรยาวๆกับการบรรยายไปนานมากกกกกกกกก(เติม ก.ไก่ไปอีก) แถมฉาก....ก็..ห่างไปนานเหมือนกัน //ปิดหน้า
ย้ำอีกครั้งว่าฟิคนี้เป็น AU ความสัมพันธ์ตัวละครจะไม่เหมือนในเนื้อเรื่องหลัก อิงธีม Joker trap และ 3P
Ch.2
“ง่วงหรือครับท่านประธาน?”
โทนเสียงทุ้มเอือนเอ่ยขณะก้มมองใบหน้าของเขาด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง
“ผมเข้าใจครับ
แต่โหมงานหนักแบบนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวนะครับ พักก่อนเถอะครับ” ขยับยิ้มจางรับรู้แต่ยังไม่ลดละที่จะโน้มน้าวให้เขาหยุดพัก
คนๆนี้มักจะแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเขาอยู่เสมอ..
ใบหน้าและน้ำเสียงแสนอ่อนโยนนั่นพาความอบอุ่นให้ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาภายในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจล่วงรู้
กว่าจะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ก่อขึ้นมาอย่างช้าๆนี้..ตัวเขาก็....
แสงจากตะวันส่องผ่านช่องระหว่างริ้วม่านสีเข้ม
เลียไล่เรื่อยจนถึงใบหน้าของผู้ที่นอนล่วงเลยเวลามายามสาย เปลือกตาหยีปิดแน่นจนคิ้วคู่ขมวดมุ่นพร้อมส่งเสียงครางในลำคอด้วยความงัวเงีย
ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นเพื่อมาบังแสงแดดที่ส่องหน้า ผิวขาวของสองแขนสีเนื้อผ้าสากก็แสบจี๊ดขึ้นมาจนความง่วงงุนนั่นหายไป
ปรือตาลืมขึ้นมองกะพริบถี่ให้ภาพหายเบลอ
จะขยับกายลุกขึ้นแต่ความหนักอึ้งก็โถมลงมาจนไม่อาจแม้แต่จะแหงนศีรษะของตน
ฝ่ามือยกขึ้นลูบใบหน้าสัมผัสถึงผิวที่ระอุร้อนและชื้นด้วยเหงื่อ
แขนขาล้าจนไม่สามารถจะพยุงร่างให้ลุกนั่งได้
ซ้ำยังรู้สึกถึงความร้าวระบมที่ช่วงล่าง พลันตื่นได้เต็มสติก็หวนนึกถึงเรื่องก่อนหน้าได้ราวกับฉากในภาพหนังที่ฉายซ้ำในสมอง
ริมฝีปากซีดเม้มแน่นอย่างนึกเจ็บแค้น แม้ร่างกายนี้จะถูกกระทำให้เสียหายมากแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเท่าความบอบช้ำในใจแสนสาหัสนี้ที่ถูกหักหลัง
เมื่อขยับยกหลังมือเพื่อก่ายหน้าผากก็พบว่าสัมผัสที่รับรู้นั้นมิใช่ผิวหนังหากเป็นผ้าชื้นที่วางแปะอยู่ จะว่าไปแล้ว..ต้นขาหรือร่างกายส่วนอื่นก็ไม่ได้รู้สึกเหนียวเหนอะ..
ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำเหลือบจ้องไปข้างกายก็พบกับกะละมังใบเล็กที่ใส่น้ำอยู่
พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะมีคนที่ช่วยเช็ดตัวให้เขาและยังคอยเปลี่ยนผ้าที่วางอยู่บนหน้าผากนี้ให้ด้วย
ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆห้องก็ไม่พบว่ามีผู้ใดเฝ้าอยู่
แม้การเคลื่อนไหวกายจะขัดเคืองอยู่บ้างแต่ตอนนี้ยังพอมีโอกาสจะหาทางหนีหรืออย่างน้อยก็น่าจะเจอช่องทางเพื่อให้ติดต่อให้คนมาช่วย
กลืนน้ำลายเอื้อใหญ่ก่อนจะฝืนขยับร่างให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เขาเผลอหลุดครางด้วยความเจ็บที่ระบมร้าวไล่ขึ้นมาจากท่อนล่าง
ผ้าผืนเล็กที่แปะอยู่ร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงเขาหยุดสายตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนคู่อเมทิสต์นั่นจะไหวระริก
ลายปักบนผ้าผืนนี้..คุ้นเสียจนไม่อยากจะให้ใช่
..แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางที่จะบังเอิญได้เพราะแน่นอนว่ามันต้องมีเพียงผืนเดียวในโลก
เนื่องจากเขาเป็นคนที่ปักมันเองและให้คุณคามิว
ฮิจิริคาวะขยับยิ้มเจื่อนออกมายามที่นึกถึง ในอกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกคราจนต้องเผลอยกมือกุมไว้แน่น
ทำไมกัน..
เขาสลัดศีรษะไล่ความคิดที่เริ่มจะรบกวนจิตใจในตอนนี้ให้หลุดออกไป
มันไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้เสียหน่อย..
ฝ่ามือขาวเลื่อนไปขยำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แน่นก่อนจะเขวี้ยงออกไปให้พ้นจากสายตา
เขยิบร่างไปที่ปลายเตียงแล้วใช้มือเท้าพยุงไว้เพื่อดันให้ลุกขึ้นยืนบนพื้นพรมอย่างช้าๆ
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ถูกเปิดทิ้งไว้พัดมาปะทะผิวกายเปลือยจนทำให้รู้สึกหนาวเสียขนลุก
เรียวขาสั่นเล็กน้อยขณะก้าวเดินสำรวจรอบห้องว่าพอมีอะไรที่ช่วยปกปิดเรือนร่างได้บ้างแต่ก็ไม่พบ
เสื้อผ้าของเขาที่ถูกถอดออกก็ไม่อยู่ในห้อง ตู้เสื้อผ้าก็ว่างเปล่า สองมือกอดแขนไว้พลางลูบให้คลายหนาวก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่เตียงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋วที่กองอยู่ขึ้นมานุ่งปิดส่วนล่างไว้
เขาเดินตรงไปที่ประตูก่อนจะเงี่ยใบหูฟังว่ามีเสียงอะไรอยู่ข้างนอกห้องหรือไม่แล้วจึงค่อยๆแง้มออกเพื่อสอดส่องดู
จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่จึงย่างเท้าก้าวออกไป
เป้าหมายแรกที่เขาจะทำคือหาเครื่องมือสื่อสารที่อาจจะมีหลงเหลืออยู่ในห้อง
อย่างน้อยห้องที่อยู่นี่น่าจะเป็นคอนโดซึ่งต้องมีโทรศัพท์ไว้ติดต่อสำหรับกรณีฉุกเฉิน
ลากขาที่ยังไม่หายล้าเดินจนรอบแล้วก็ไม่พบ
จะเจอก็แต่สายเปล่าๆแต่ไม่มีตัวเครื่อง
นั่นสินะ..อย่างพวกนั้นคงไม่เหลือช่องทางให้เขาติดต่อให้คนมาช่วยได้
จะออกไปทั้งๆสภาพนี้เลยก็ไม่ได้อีก
หนำซ้ำเขาเองก็ไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นที่เฝ้าอยู่รอบๆคอนโดนี้อีกหรือเปล่า
จะทำอะไรวู่วามไม่ได้..
ฮิจิริคาวะถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนัง ทั้งที่ตอบทุกอย่างที่ตัวเองรู้ไปจนหมดแล้วแต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อ
ตัวเขาเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยกลับต้องมาเจออะไรแบบนี้.. จะต้องทำยังไง
จริงสิ ถ้าเขาไม่ได้เข้าบริษัทวันนี้..อาจจะมีคนพยายามติดต่อเขาแน่ๆ
แต่ว่า..ถ้าคุณคามิวที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเลขาฯไปรับหน้าแทนล่ะ..
ถึงจะอย่างนั้น..ทางฝ่ายนั้นเองก็คงเหลือเวลาไม่มาก
เพราะหากทุกคนเห็นว่าเขาหายไปหลายๆวันจนผิดสังเกตก็คงจะไม่ได้เช่นกัน
ระหว่างนี้..ตัวเขาทำได้แค่เตรียมตั้งรับอยู่แบบนี้สินะ..
ระหว่างกำลังนั่งคิดแผนรับมือด้วยหน้าเคร่งเครียดอยู่นั้น เสียงที่เกิดจากการบีบตัวของกะเพราะก็ดังขึ้นเสียจนอดจะหน้าแดงไม่ได้
ต่อให้ไม่มีใครอื่นที่ได้ยินก็เถอะ
จริงสินะ..เขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน
คอเขาเองก็เริ่มจะแห้งผากแล้ว
จะโทรสั่งรูมเซอร์วิสก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีอะไรเหลือไว้ให้ในตู้เย็นบ้างแหละน่า
ผักสดที่ถูกยัดไว้ในตู้เย็นโดยไม่ได้ห่อพลาสติกหรือใส่กล่องปิดหนำซ้ำยังอยู่ตรงรางน้ำฝั่งประตู
ปลาที่ยังคงเป็นตัววางไว้ในช่องผัก ขวดซอสงาแปะป้ายลดราคาก็ดันไปอยู่ในช่องแช่แข็งแทน
ไหนจะขวดซอสทาบาสโก้ประมาณครึ่งโหลที่อยู่ข้างในนั้น แปลกใจที่มีของชำอยู่เยอะกว่าที่คิด
แต่แปลกว่าคือทุกอย่างถูกใส่อย่างผิดที่ผิดทางจนเห็นแล้วชวนอารมณ์เสียขึ้นมา
ฮิจิริคาวะถอยหายใจยาวก่อนจะหยิบข้าวของทุกอย่างข้างในตู้เย็นออกมากองไว้ด้านนอก
เขาแยกส่วนที่จะใช้ทำกับข้าวมาวางไว้บนเค้าท์เตอร์ครัวแล้วก้มลงจัดของที่เหลือใส่กลับเข้าไปให้ถูกที่
ไม่ใช่หน้าที่แท้ๆ..แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วมันอดไม่ได้
ช่างเป็นคอนโดที่หรูและจัดสรรส่วนได้ดีเสียจริง
ทางเข้ามีพื้นที่พอสำหรับวางรองเท้าและแขวนเสื้อนอก
โถงขนาดพอดีอยู่กลางห้องพร้อมโซฟาหนัง ในส่วนของครัวก็เป็นแบบติดตั้งเสริมชิดกับกำแพง
เครื่องใช้ต่างๆก็มีพอจะทำอาหารทั่วไปเองได้
ห้องน้ำถ้าจำไม่ผิดข้างในห้องนอนก็มีห้องหนึ่ง ข้างนอกก็มีอีกห้อง แม้จะไม่กว้างมากแต่ก็มีทุกอย่างครบครันพอที่จะอาศัยได้
ชายหนุ่มนั่งนึกถึงตอนที่เดินสำรวจห้องขณะที่ใช้ส้อมจิ้มลงบนปลาดิบห่อด้วยผักกาด
เขาเพิ่งทำมื้อสายเป็นของรองท้องให้ตัวเองก่อนจะเป็นโรคกะเพราะเสียก่อน
หลังจากเก็บจานและทำความสะอาดล้างของที่ใช้แล้วก็คงต้องเดินสำรวจรอบๆห้องอีกสักครั้งเผื่อจะเจออะไรที่พอมีประโยชน์ได้บ้าง
คงต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะกลับมาตอนไหน
ถึงจะมีเสบียงกักตุนไว้
แต่ก็ไม่มีของใช้อย่างอื่นเลยที่แสดงให้รู้ว่าทั้งสองคนอาศัยอยู่ที่นี่
ข้างในห้องน้ำก็มีสบู่เหลว แชมพู ยาและแปรงสีฟัน
ซึ่งทั้งหมดนั่นอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมยังไม่แกะออกจากห่อด้วยซ้ำ
หรือว่าเพิ่งจะซื้อมาสำหรับให้เขาใช้โดยเฉพาะ? คิ้วมุ่นเล็กน้อยขณะนึก
แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นหรอกนะ
ยังไงก็ทดแทนกันไม่ได้หรอก..
การกระทำแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็อภัยให้ไม่ได้ ต่อให้เป็นคุณคามิวก็ตาม..
จากที่แหวกม่านออกดูข้างนอกเขาก็ไม่รู้สึกคุ้นเลยว่าที่นี่คือที่ไหน
ไม่มีป้ายระบุทางหรือจุดสังเกตใดๆ เจ้าพวกนั้นคงจัดหาสถานที่มาเป็นอย่างดีเป็นแน่
ในห้องก็ไม่มีนาฬิกาทำให้ไม่รู้เวลาที่แน่นอน แต่ก็น่าจะตกเย็นแล้ว
ท้ายที่สุดเขาก็กลับมานั่งอยู่ในห้องนอน
อย่างน้อยเขาก็หารีโมตแอร์มาปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นได้แล้ว
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังรู้สึกโล่งๆที่ท่อนบนอยู่ดีเลยตัดสินใจหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้
เงียบ..
ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบบรรยากาศเงียบสงบแบบนี้
แต่นี่มันเงียบมากและนานจนเกินไป
ฮิจิริคาวะนั่งกอดเข่าจ้องไปยังกำแพงอีกฝั่งที่มีกระดานปาเป้าติดไว้
ไม่ได้ติดไว้ประดับอย่างเดียวแน่ๆเพราะเขาสังเกตเห็นรูบนนั้น และส่วนมากก็กระจุกอยู่ที่ตรงกลางเสียด้วย
คุณคามิว..หรือว่าหมอนั่น
กึก..
!?
เสียงฝีเท้าที่กดน้ำหนักลงบนพื้นไม้ดังแว่วมาจากอีกฝั่งของประตูห้องนอน
ฮิจิริคาวะรีบเขยิบถอยตัวจนแผ่นหลังชิดกับหัวเตียงพลางจ้องไปยังบานประตูแบบไม่ยอมกะพริบตา
ภาพของลูกบิดทรงกลมถูกหมุนช้าๆเพื่อปลดล็อคชวนให้รู้สึกกระวนกระวาย
น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงในลำคอ
สองแขนกอดตัวเองไว้ขณะเดียวกันกับที่ประตูถูกดึงเปิดออก
“หืม
ทำหน้าแบบนั้นผิดหวังรึไงที่ไม่ใช่บารอนน่ะ?” เจ้าของใบหน้าทะเล้นเอ่ยทักขณะเหล่สายตาคู่สีฟ้าจ้องมายังร่างที่นั่งทำหน้าไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
ทรงผมที่มักจะเสยขึ้นถูกปล่อยลงให้หน้าม้าคาดลงมา ช่างทำให้ใบหน้านี้ยิ่งดูยียวนมากกว่าเดิม
“จะเป็นใครฉันก็ไม่ดีใจทั้งนั้น”
ฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจพร้อมกับช้อนสายตาแข็งกร้าวขึ้นจ้องใส่
เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือเป็นรอยพยายามข่มอารมณ์โกรธที่แทบจะปะทุทันทีที่เห็นหน้ากวนๆนี่
“เอ~ ยังโกรธอยู่สินะ”
พูดคล้ายจะสำนึกแต่สีหน้านั่นคนละเรื่อง
ไหนจะเสียงหัวเราะปิดท้ายประโยคนั่นอีก
จินงูจิขยับยิ้มขณะก้าวเดินเข้าไปหาร่างที่จ้องมาอย่างไม่ไว้ใจทีละก้าว
ฮิจิริคาวะพยายามจะถอยแต่ก็ไม่เหลือที่จะหนีให้ห่างออกมาได้มากกว่านี้อีกแล้ว ชายเจ้าเล่ห์ส่งเสียงฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ตอนที่ปีนขึ้นมาบนเตียงนอน
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าพลันเหตุการณ์เมื่อคืนวานก็ผุดเข้ามาในความคิดจนหวาดผวา
“หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ
อย่าเข้ามานะ!” เขาเหลือบมองข้างตัวเผื่อพอจะมีอะไรที่จะสามารถเป็นอาวุธได้บ้าง
“ตื่นแล้วก็ไล่กันเลยนะ
ทั้งที่เมื่อวาน..ออกจะเรียกหาแท้ๆ~” แน่ล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ฟังแถมยังจงใจค่อยๆคลืบคลานเข้ามาใกล้ร่างอย่างช้าๆ
“เปล่าสักหน่อย!”
เขาหลุดตะคอกเสียงดังอย่างลืมตัว
นั่นทำให้อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยขึ้นมาขยับยิ้มให้ราวกับพึงพอใจที่ถูกตวาด
“หรอ..ฉันยังจำได้อยู่เลยนะตอนที่นายเบียดสะโพก..-”
“หุบปาก!!”
ฮิจิริคาวะไม่รอให้พูดจบ
การปั่นหัวเล่นของจินงูจิเป็นผล เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าถลาตัวเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกคนก่อนจะง้างหมัดขึ้นแล้วชกเข้าเต็มๆที่ใบหน้า นัยน์ตาจ้องแบบเอาเรื่องพร้อมกับกัดฟันแน่นอย่างเครียดแค้น
ใช่ว่าเร็นจะแก้เกมไม่ได้ แต่ตั้งใจให้ถูกต่อยเข้าจังๆเองต่างหาก
รอยแดงเด่นชัดอยู่ที่ข้างแก้มทว่าเจ้าของใบหน้ายังคงยิ้มได้อยู่ หมอนั่นยกฝ่ามือขึ้นลูบเบาๆ
ก่อนจะเลื่อนมาคว้าข้อมือของเขาไว้แน่นแล้วออกแรงบีบจนรู้สึกเจ็บ
“ฉันไม่ชอบเล่นบทใจร้ายแบบบารอนเท่าไหร่หรอกนะ
แต่เหมือนว่านายจะชอบแบบนั้น?” สายตาเดิมทีที่มักจะฉายแววขี้เล่นแปรเปลี่ยนมาเป็นจริงจังจ้องลึกเข้ามาในดวงตาอเมทิสต์จนรู้สึกสะอึก
เขากลืนน้ำลายก่อนจะรีบทำทีว่าไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร
ฮิจิริคาวะขยับยิ้มบางบ้าง
“หึ..
คุณคามิวที่ฉันเคยรู้จักไม่ใช่แบบนั้น..ไม่สิ ฉันไม่เคยรู้สึก‘ตัวตนจริงๆ’ของเขาเลยต่างหากนอกจาก..จะรู้จักว่าเป็นพวก‘หลอกลวง’”
เจ็บแปลบยามที่เอ่ยออกมา
ประโยคนั้นไม่ได้หมายถึงแค่คามิวแต่ตั้งใจจะกล่าวถึงคนตรงหน้าด้วย
“จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบนักหรอกนะ..”
เสียงพึมพำเบาๆมาจากปากของจินงูจิ
เสี้ยววินาทีจริงๆเห็นความเศร้าโศกฉายอยู่ในแววตาแสนน่าหมั่นไส้นั่น
“รู้สึกผิดเป็นด้วยหรือไง”
เขาแซะกลับพร้อมทั้งสะบัดข้อมือตัวเองหวังให้หลุดจากมืออีกฝ่าย
จินงูจิยอมปล่อยออกแต่โดยดีซึ่งทำให้แปลกใจเล็กน้อย
“มองกันในแง่ร้ายจังเลยนะ”
น้ำเสียงนั่นเหมือนจะกำลังน้อยใจ
นัยน์ตาสีฟ้าสว่างช้อนขึ้นจ้องไม่มีรอยยิ้มยียวนที่มักจะอยู่บนใบหน้าของหมอนี่
“สภาพแบบนี้จะใครหน้าไหนก็มองนายในแง่ดีไม่ได้หรอก”
ฮิจิริคาวะพยายามเขยิบตัวไปด้านข้างแทนแต่สุดท้ายก็ชิดกับขอบเตียง
เขายังคงมองอีกฝ่ายไม่วางตาเพื่อคอยระวังตัวเผื่อจะตั้งรับได้ทัน
จินงูจิไหวไหล่ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆออกมาแล้วส่งเสียงหัวเราะนิดๆเมื่อเห็นท่าทีของเขา
สุดท้ายแล้วหมอนั่นก็ยอมถอยออกไปแล้วนั่งอยู่ที่ปลายเตียงแทน
เห็นดังนั้นเขาเลยเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
แต่เหมือนมันจะดังไปหน่อยจนอีกฝ่ายหันกลับมามองแล้วยิ้มขำใส่
ซึ่งก็เผลอมองค้อนกลับไปอย่างลืมตัว
“แค่แวะมาดูว่านายยังไม่ได้ทำอะไรแบบไม่คิดลงไปหรือเปล่าเองน่า”
หมอนั่นพูดก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“ฉันอาจจะทำถ้านายยังไม่ยอมปล่อยฉัน”
เรื่องที่ทำแบบไม่คิดที่เขาว่าคืออาจจะเผลอพุ่งไปทำร้ายคนตรงหน้าด้วยข้อหาทำตัวชวนโมโห
“เห~ ก็รู้นี่นาว่าไม่ได้น่ะ
จนกว่านายจะยอมตอบ” เร็นยังคงพูดย้ำให้ยอมคายความลับออกมา
ซึ่งแน่ล่ะว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น
“ก็ฉันตอบไปแล้วไงล่ะว่าไม่รู้น่ะ!”
ฮิจิริคาวะยังยืนยันคำเดิมแบบที่ตอบไปแล้วเกินสิบรอบจนอยากจะอัดเสียงไว้เปิดหากถูกถามซ้ำอีกในคราวหน้า
“งั้นหรอ..”
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเงียบไปพักหนึ่ง
“ฉันไม่ได้โกหก
ฉันบอกทุกอย่างที่ฉันรู้ไปหมดแล้ว ปล่อยฉันไปซะทีจินงูจิ” เขาพยายามจะขยับตัวเข้าไปหาแต่ก็เปลี่ยนใจที่จะนั่งอยู่ที่เดิมแทนเนื่องด้วยสภาพร่างกายตอนนี้..ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น
“จะลองเก็บไปคิดดูนะ”
ฮิจิริคาวะเบิกตากว้างเล็กน้อย
คำพูดนั่นเริ่มทำให้เขารู้สึกจะมีหวังขึ้นมาเล็กๆ
“นายเชื่อฉันแล้วสินะ!”
มีความดีใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง
“เปล่านี่
ฉันยังไม่ทันบอกเลยนะว่าเชื่อนายน่ะ” พลันความหวังริบหรี่นั่นก็ถูกพังทลายในพริบตา
เขาเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากับประโยควกวนที่จงใจจะปั่นหัว
“ทำไมล่ะ!
ฉันจะต้องทำยังไงพวกนายถึงจะยอมเชื่อว่าที่ฉันพูดมันคือความจริง” ฮิจิริคาวะเริ่มขึ้นเสียงใส่อย่างเหลืออดโดยไม่สนว่าตอนนี้ตกอยู่ในสถานะที่เป็นรอง
“สำหรับคนแบบฉันแล้ว..
การเชื่อใจใครสักคนมันยากอยู่น่ะ” ประโยคนั้นถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบากว่าปกติราวกับพูดให้ตัวเองได้ฟังเสียมากกว่า
จินงูจิเลือกจะเป็นผู้ตัดบทสนทนานี้เองด้วยการเดินออกไปจากห้อง
เสียงของบานประตูห้องนอนที่ถูกปิดลงสำหรับเขามันคือเสียงของประตูกรงห้องขัง
แม้จะไม่ได้ถูกล็อคแต่ก็ไม่อาจจะหนีออกไปเป็นอิสระได้
เบาะนอนกระเทือนด้วยแรงขยับพลิกตัวไปมาเพื่อให้ผ้าห่มผืนหนาม้วนห่อร่างที่เปลือยเปล่าไว้อบอุ่น
ชายหนุ่มยังคงกลิ้งซ้ายขวาขยุกขยิกเนื่องจากตายังคงสว่างทั้งที่เขาเองก็ต้องการที่จะพักผ่อน
ฮิจิริคาวะพลิกตัวให้นอนหงายมองเพดานด้านบนพลางถอนหายใจ
เขานอนไม่หลับ
ได้มีโอกาสนอนแบบสงบๆแล้วแท้ๆ อาจเพราะแปลกที่กระมัง
จะโทรทัศน์หรือหนังสือที่น่าจะพอช่วยฆ่าเวลาได้ก็ไม่มีเสียนี่
แม้แต่นาฬิกาที่จะดูเวลายังไม่เลยด้วยซ้ำ ดึกแค่ไหนแล้วเขาก็ไม่รู้
ตื่นมาก็ไม่รู้ว่าสายแค่ไหน
แต่ถึงรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอยู่ดีนั่นแหละนะ..
ก็ออกไปไหนหรือทำอะไรไม่ได้นี่นา
ลืมตาจ้องนานๆสายตาของเขาก็เริ่มทีจะชินกับความมืด ยิ่งตาสว่างมากกว่าเดิม
กริ๊ก..
พลันนัยน์ตาเหลือบมองไปตามเสียงประตูที่ถูกปลดล็อคก่อนจะตามมาด้วยเสียงดันบานประตูเปิดออกช้าๆ
คาดว่าผู้มาเยือนพยายามที่จะไม่ให้ดังรบกวนผู้ที่อยู่ในห้อง
เงาตะคุ่มๆค่อยๆก้าวขาเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
ดวงตาที่กะพริบสังเกตเห็นประกายทองลางๆจากเรือนผม ดูเค้าโครงแล้วน่าจะเป็นจินงูจิ
ฮิจิริคาวะยังคงนอนนิ่งๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ายังไม่หลับ
เขารีบปิดตาลงเมื่อเห็นว่าร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง
สักพักก็รู้สึกได้ถึงเบาะที่นอนยวบลงไป หมอนั่นน่าจะขึ้นมานอนอยู่ข้างๆแล้ว
เขาคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก
จะกลับมานอนทำไมที่นี่กัน..
แม้จะมีความกังวลอยู่แต่สุดท้ายเขาก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“อ...อย่า!..
ฉันบอกให้หยุดไง!!”
เสียงร้องผวาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบจนทำให้ร่างของคนหลับอยู่สะดุ้งตื่น
ไม่ใช่เพียงแค่นั้นแรงสะเทือนจากต้นเสียงนั่นยังดิ้นไปมาจนผ้าปูเตียงยับยู่ยี่
“นี่นาย!..” ไม่ทันจะได้ต่อว่าก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบท่อนแขนที่กวาดไปมาอย่างสะเปะสะปะนั่น
อะไรของหมอนี่..
ฮิจิริคาวะที่ถูกปลุกกลางดึกยังคงสะลึมสะลืออยู่บ้างแต่ก็พอจะรู้สึกตัว
เมื่อพินิจมองก็พบว่าร่างที่นอนดิ้นนั้นยังคงหลับอยู่
ใบหน้าคิ้วขมวดนั่นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ส่งเสียงครวญครางคล้ายกำลังทรมาน
จินงูจิพยายามขดตัวเข้าหากันคว้าทั้งผ้าห่มทั้งผ้าปูเตียงเข้ามากอดไว้แน่น
ละเมออย่างนั้นหรอ?
เห็นดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปหาหวังจะปลุกให้ตื่นเสีย
“หยุด..
หยุดนะ..อึก ไม่..อย่า”
เสียงสะอื้นร้องที่หลุดออกมานั่นทำให้ต้องชะงักไป
“พอสักที..หยุดได้แล้ว”
ส่งเสียงที่สั่นเครือและแหบแห้งราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขอใครอยู่
เขาไม่กล้าจะแตะตัวอีกฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นตัวเองจะโดนทำอะไรอีกหรือเปล่า
สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ทนนั่งมองจินงูจิที่นอนละเมอดิ้นทุรนทุรายสะอื้นร้องจนกระทั่งอีกคนนั้นสงบไปเอง
ฝันถึงอะไรอยู่กันนะ..
แดดยามเช้าส่องเข้ามาผ่านช่องว่างของม่าน
ฮิจิริคาวะตื่นขึ้นมาเองโดยไม่ต้องอาศัยเสียงนาฬิกาปลุก
เขาลุกขึ้นนั่งอยู่สองสามนาทีให้ตื่นเต็มตาก่อนจะลุกจากเตียงแล้วยืดเส้นตามความเคยชิน
ระหว่างที่ยกมือขึ้นป้องปากหาวก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้
เขาหันมองกลับไปที่เตียงที่พบว่าจินงูจิยังคงหลับอยู่บนนั้น
“!!” โชคท่าจะเข้าข้าง..
เขาคิดบางอย่างออกแล้ว..ถึงจะอันตรายไปหน่อย
รางดุมเชิ้ตขาวถูกดึงให้ขึ้นมาพอที่จะปลดออก
แต่เหมือนจะกลายเป็นงานยากกว่าทุกทีเพราะว่าฝ่ามือทั้งสองข้างนั้นกำลังสั่นด้วยความประหม่า
ฮิจิริคาวะสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสมาธิก่อนจะเริ่มแกะเม็ดกระดุมเสื้อของคนหลับปุ๋ยออกทีละเม็ด
คงเพราะจดจ่ออยู่กับการเปลื้องเสื้อเลยไม่ได้สนใจสิ่งอื่น
แน่นอนว่ารวมทั้งไม่ได้ทันสังเกตว่าดวงตาสีฟ้าคู่นั้นปรือขึ้นมองมาได้สักพักแล้ว
วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาเห็นภาพตรงหน้าจินงูจิก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเหมือนกันแต่ว่ากลับรู้สึกน่าสนุกเสียมากกว่า
ชายหนุ่มยิ้มขำอยู่นิ่งๆมองหน้าของผู้ที่พยายามถอดเสื้อตนอย่างขะมักเขม้นจนสำเร็จและพยายามจะสวมใส่ให้กับตัวเอง
“ท่าจะลำบากนะ
ให้ช่วยมั้ย?” สุดท้ายก็อดที่จะทักไม่ได้
แน่ล่ะว่าต้องทำให้คนถูกทักตกใจ
ฮิจิริคาวะสะดุ้งในทันทีก่อนจะผละตัวออกห่างแต่แล้วก็ถูกรั้งตัวไว้ไม่ให้ลุกหนี
สภาพในตอนนี้เลยกลายเป็นเขากำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวของจินงูจิ
ยิ่งเห็นสายตาที่จ้องมาแล้วเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาบนใบหน้า
“ลักหลับฉันหรอ?”
รู้ว่าไม่ใช่แต่ตั้งใจที่จะแหย่เล่น
ซึ่งก็ได้ผล เพราะตอนนี้หน้าบึ้งๆนั่นขมวดคิ้วเสียแทบจะผูกปมได้
ฮิจิริคาวะขยุกขยิกตัวต้องการจะลุกออกแต่กลายเป็นกำลังเสียดสีอยู่บนร่างที่ท่อนบนที่เปลือยของอีกคนแทน
“ลามกแต่เช้าเลยนะ~”
ยังคงไม่เลิกแกล้งหนำซ้ำยังเลื่อนมือไปบีบเล่นที่สะโพกพร้อมทำหน้าตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่
“ฉันไม่ใช่พวกโรคจิตแบบนาย!”
เขารีบสวนกลับทันควันและแกะมืออีกฝ่ายให้ออกไปจากร่างของตัวเอง
แต่แล้วกลับถูกจับข้อมือไว้แล้วดึงให้เอนลงไปนอนทับอยู่บนร่างของหมอนี่แทน
“เห..แล้วทำไมต้องแอบมาแก้ผ้าฉันตอนที่ฉันหลับด้วยล่ะ?”
ระยะห่างระหว่างใบหน้าของทั้งสองนั้นมีอยู่ไม่ถึงคืบ
ลมหายใจอุ่นปะทะลงบนผิวขาว เสียงที่เอ่ยถามหรี่ลงให้เบาจนคล้ายกำลังกระซิบ
ส่วนมือก็ยังไม่หยุดซุกซนลูบไปตามแผ่นหลังเปล่าลงมาหยุดอยู่ที่บั้นท้ายจนเจ้าของร่างหน้าแดงลามไปถึงใบหู
“ฉัน..อยากได้เสื้อผ้า”
เขาพูดตอบด้วยเสียงที่ติดๆขัดๆเล็กน้อยเนื่องจากสภาพในตอนนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่นัก
“ขอกันดีๆก็ได้นี่นา
แต่ฉันเหมือนจะเห็นว่านายไปหาเชือกมาได้ด้วยนะ จะใช้ทำอะไรหรอ” จินงูจิยิงคำถามต่อมาและจ้องตาเหมือนจะคาดคั้น
ฮิจิริคาวะเงียบไม่ตอบพร้อมทั้งหลบตาอีกฝ่าย
“จะขโมยเสื้อผ้าฉันแถมยังจะมัดไว้อีกล่ะสิ
ใจร้ายจังเลยนะ~” คนพูดแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจและทำหน้าเศร้าสร้อย
“ยังน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่นายทำ..”
เขานึกอยากจะฆ่าหมอนี่ให้ตายแบบสุดๆ
แต่คงไม่คุ้มกับผลเสียที่จะตามมา และในความเป็นจริง..ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะทำได้สำเร็จเช่นกัน
“อะไรกัน
ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวซะหน่อย” น้ำเสียงนั่นกลับมายียวนชวนโมโหอีกครั้ง..
เขาที่ได้ฟังประโยคนั่นก็ชะงักไปก่อนจะสลดลง
ใบหน้าของอีกคนที่จินงูจิพูดถึงลอยเข้ามาในความคิด
สายตาเย็นชาที่จ้องมองเขาในตอนนั้น..ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นกลับเขามาข้างในอกอีกครั้ง
เร็นขยับยิ้มเมื่อจับทางได้ว่าอะไรคือจุดที่จะใช้จี้คนตรงหน้าได้
สายลับหนุ่มที่เห็นคนตรงหน้านิ่งเงียบไปนานเริ่มจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
เร็นถอนหายใจออกมาแล้วแกล้งบีบที่แก้มก้นขาวนั่นเพื่อเรียกความสนใจ
แน่นอนว่าได้กลับมาเต็มๆ
แต่ว่าเป็นรอยชกอีกรอยล่ะนะ..
“เจ้าคนวิตถาร!”
ฮิจิริคาวะหน้าแดงด้วยความอับอาย
เขาอาศัยจังหวะที่อีกคนเผลอออกแรงผลักตัวเองให้ออกห่างร่างอีกคนแล้วรีบลุกวิ่งไปยังบานประตูห้อง
แผ่นหลังพิงชิดประตูเพื่อหันประจันหน้ากับอีกคน
ขณะที่มือพยายามคว้าหาลูกบิดให้ไวที่สุดก่อนที่หมอนั่นจะลุกขึ้นจากเตียงเข้ามาใกล้ตัว
เร็นส่งเสียงหัวเราะขำออกมายามที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของฮิจิริคาวะที่มีต่อตน
เขยิบกายมานั่งที่ปลายเตียงแล้วงอตัวค้างเท้าจ้อง
“วิวดีเหมือนกันแฮะ”
เอ่ยแล้วผิวปากแซวใส่คนที่สวมเสื้อตัวโคร่งที่ช่วยปกปิดท่อนล่างได้อย่างวับๆแวมๆ
ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันกว่าเจ้าตัวจะเข้าใจ เขารีบก้มมองก็พบว่าชายเสื้อเชิ้ตเลยจากสะโพกมาเพียงคืบ
ฮิจิริคาวะหน้าแดงแปร๊ดแล้วผลักประตูให้เปิดก่อนจะรีบออกไปข้างนอกพร้อมกระแทกปิดกลับมาอย่างแรงด้วยความโมโห
ต้องถูกลวนลามทั้งทางสายตาและร่างกายช่างน่าอับอายเสียจริง เขากำหมัดแน่นพยายามข่มอารมณ์โกรธ
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะเรียกดังมาจากด้านหลัง
“จะดันประตูไว้แบบนั้นทั้งวันเลยรึไง”
เสียงของจินงูจิดังขึ้นมาจากหลังบานประตูห้องนอน
เขาเดาะปากอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นักก่อนจะยอมหลีกทางให้
เมื่ออีกฝ่ายเดินออกมาจากห้อง
ฮิจิริคาวะตวัดสายตาจ้องเขม็งอย่างไม่ไว้ใจแต่แล้วอีกฝ่ายกลับแค่เดินผ่านหน้าเขาไปเฉยๆเสียอย่างนั้น
ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรหรือทำสีหน้ากวนประสาทแบบเช่นทุกที
เขามองตามไล่หลังของอีกฝ่ายจนกระทั่งพ้นออกไปจากห้อง
ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เดินกลับเข้ามาใหม่กว่าจะยอมละสายตา
อ่า..วันนี้เขาจะทำอะไรเป็นมื้อเช้าดีล่ะ?
ไข่สองฟองถูกตอกลงบนชามใบขาว
มือขวาหยิบที่ตีไข่ขึ้นมาตีจนกระทั่งไข่ขาวและไข่แดงเข้ากันดีแล้วจึงค่อยเทลงในกระทะ
ไฟถูกหรี่ให้เบาลงเล็กน้อย ระหว่างที่รอเขาก็เดินไปดูซุปมิโซะที่ตั้งอุ่นไว้ในหม้อ
ฮิจิริคาวะเปิดฝาออกก่อนจะตักขึ้นมาเพื่อชิมรสก็พบว่าไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป
เขาขยับยิ้มเล็กน้อยและรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
ขณะที่กำลังจะเดินไปม้วนไข่ในกระทะนั่นเอง..
“หอมจังเลยนะ
ทำเผื่อฉันอีกที่หน่อยสิ”
“!!” เสียงเอ่ยทักนั่นทำให้เขาสะดุ้งจนเกือบแทบทำกระทะหล่น
ฮิจิริคาวะหันขวับไปทางต้นเสียงแทบจะทันทีและต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
จินงูจิกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..พร้อมหาเสื้อตัวใหม่มาสวมแทนเรียบร้อย
แม้แต่เสียงของประตูหรือฝีเท้าก็ไม่ได้มีให้ได้ยิน
หนำซ้ำยังมียืนอยู่ข้างหลังเขาซึ่งห่างกันอยู่ไม่กี่ก้าว
เขาถอยหลังไปแบบอัตโนมัติจนชนกับเค้าท์เตอร์ครัว
ยังไงหมอนี่ก็เป็นสายลับนี่นะ..จะทำแบบนี้ได้ก็คงไม่แปลก
“ร-รู้แล้วน่า..ไปนั่งก่อนสิ”
จำใจจะต้องบอกไปแบบนั่นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมถอยออกไป
เมื่อเห็นว่าจินงูจิยอมไปนั่งรอตามที่บอกแล้วเขาจึงหันกลับมาจัดการม้วนไข่ต่อ
เมื่อเห็นว่าสุกดีแล้วจึงก้มลงไปเปิดตู้เพื่อหาจานสำหรับใส่
แว่วเสียงผิวปากก็ดังขึ้น
“มุมดีสุดๆเลยล่ะ
รู้แบบนี้น่าจะหาผ้ากันเปื้อนมาเผื่อไว้ให้ด้วย” น้ำเสียงของหนุ่มหน้าทะเล้นเอ่ยหยอกขณะจ้องเรียวขาขาวของผู้ที่ก้มลงหยิบจาน
ฮิจิริคาวะลุกขึ้นยืนตรงวางจานและถ้วยไว้แล้วรีบดึงเสื้อเชิ้ตให้ลงมาปิดขาตนให้มากที่สุด
เขากัดฟันแน่นระหว่างเทไข่ลงบนจาน ซุปมิโซะอุ่นๆถูกตักใส่ถ้วยใบเล็ก
สองมือหยิบไข่ม้วนและมิโซะนำไปวางสำหรับจินงูจิที่นึง
ก่อนจะเดินกลับมาหยิบส่วนของตัวเองแล้วนำไปตั้งบนโต๊ะ
“ทานแล้วนะครับ”
ฮิจิริคาวะเอ่ยก่อนที่จะเริ่มลงมีทานมื้อเช้า
ผ่านไปได้สักพักหนึ่งจินงูจิที่จ้องมองคนนั่งฝั่งตรงข้ามเป็นพักๆเหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นมา
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฎขึ้นก่อนที่จะแสร้งทำเป็นเผลอใช้แขนกวาดตะเกียบไม้ให้หล่นลงพื้น
และก็กลิ้งไปทางฝั่งของฮิจิริคาวะตามที่คาดการณ์ไว้
“อ่า..แย่ล่ะสิ
นายช่วยหยิบให้ฉันทีสิ” เร็นก้มมองไปที่ตะเกียบ
“จะบ้ารึไง ใครเขาหยิบตะเกียบที่หล่นพื้นแล้วขึ้นมาใช้ต่อกัน”
“ก็มีแค่สองคู่นี่นา”
แต่เรื่องนี้ไม่ได้พูดโกหก
ในคอนโดนี้มีช้อนส้อมและตะเกียบอย่างละสองชุดเท่านั้น
ฮิจิริคาวะถอนหายใจด้วยความหน่ายแต่สุดท้ายก็ยอมลุกก้มไปเก็บให้
ยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกวาดขึ้นอีกครั้งขณะจ้องสายตามองตามชายเสื้อที่ถูกถกขึ้น
ซึ่งคนถูกจ้องนั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ากำลังโดนหลอก
“เอ้านี่
แล้วอย่าทำหล่นอีกล่ะ” เขานำไปล้างให้สะอาดแล้วยื่นคืนให้กับจินงูจิ
ระหว่างที่หมอนั่นรับไปก็แอบจับมือเขาเต็มๆ..จะมากเกินไปแล้ว!
“ปล่อยมือฉัน..”
ฮิจิริคาวะทำเสียงดุใส่
อีกฝ่ายจึงยอมผละมือออกแต่โดยดี
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบโต๊ะอาหารได้เพียงไม่นานนักบุรุษผู้ที่นั่งเฉยๆไม่เป็นก็เริ่มเอ่ยปากชวนคุย
“เมื่อวานนายก็ทำอาหารกินเองด้วยสินะ
แถมยังจัดของให้อีก เป็นคนดีจริงๆน้า~” จินงูจิเอ่ยชมแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกยินดีเสียเท่าไหร่
“ก็ของมันวางซี้ซั้วแถมรกไปหมด
ไม่เข้าใจเลยว่านายอยู่เข้าไปได้ยังไง” เขาเอ่ยอย่างตำหนิแล้วหยิบถ้วยมิโซะขึ้นมาซด
“โทษฉันแค่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ”
จินงูจิไหวไหล่แบบไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำกล่าวว่านั่น
มือที่ถือถ้วยอยู่นั่นชะงักไปชั่วครู่หนึ่งซึ่งนัยน์ตาคมกริบของสายลับหนุ่มสังเกตได้ทัน
“ยังไงก็ขอบใจที่ช่วยจัดห้องให้ล่ะนะ
แล้วก็สำหรับอาหารมื้อนี้ด้วย”
ฮิจิริคาวะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
มือขาวเอื้อมหยิบจานและถ้วยมาซ้อนกันก่อนที่จะยกไปล้างที่อ่าง
เร็นเอี้ยวตัวมองตามอยู่พักหนึ่งเหมือนลังเลอยู่ว่าควรลุกไปช่วยดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งจ้องอยู่เฉยๆแบบนั้นก่อนจะทำสีหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
เปลือกตาค่อยๆปิดลงเบาๆด้วยความล้าที่เหนื่อยทั้งกายและใจมาตลอดทั้งวัน
แผ่นอกไหวกระเพื่อมอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าร่างนี้ได้เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เมื่อหลังถึงเตียงฮิจิริคาวะก็หลับไปอย่างง่ายดายต่างกับคืนแรก
ถึงแม้ความกังวลในใจจะยังคงมีแต่ร่างกายนี้คงอยากจะพักผ่อนให้เต็มที่จนไม่อาจฝืนความง่วงได้
หลับสนิทจนไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงของประตูที่ถูกผลักเข้ามา
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินมาใกล้ หรือเสียงเอ่ยเรียกแผ่วๆที่กระซิบอยู่ข้างใบหู
ผู้มาเยือนเห็นว่าอีกคนนั้นได้หลับไปเสียแล้วจึงเอนกายนอนลงข้างๆและพยายามที่จะข่มตาหลับบ้าง..
ถึงแม้ว่าสำหรับตน..การนอนโดยที่ไร้คนช่วยปลอบนั้นจะทำให้ฝันร้ายอยู่ทุกครั้งก็ตามที
ปัง!
หมอนหนุนถูกเขวี้ยงลงไปจากเตียงจนกระแทกกับบานประตูเกิดเสียงดัง
ซ้ำผ้าห่มยังถูกถีบจนลงไปกองอยู่ที่พื้น
เสียงร้องครวญครางดังระงมมาจากคนที่นอนละเมอ
ผู้คนข้างกายปรือมาขึ้นมาดว้ยความหงุดหงิดเนื่องจากถูกปลุกให้ตื่นตอนกลางดึกเป็นคืนที่สองแล้ว
“อีกแล้วเรอะ”
ฮิจิริคาวะบ่นดว้ยความรำคาญพยายามจะลุกหนีไปนอนนอกห้องแทน
แต่แล้วขณะที่จะลุกขึ้นนั้นแขนกลับถูกมือของอีกคนคว้าไปอย่างแรงแล้วบีบไว้จนแน่น
“ช่วย..ช่วยฉันที”
ประโยคร้องขอนั่นถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงเครือๆ
เขาชะงักไปก่อนจะหันกลับมามองก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงละเมออยู่
มือนั่นดึงให้ร่างของเขาเซจนล้มลงไปทับบนตัวคนหลับสองแขนของจินงูจิรวบกอดตัวเข้าไว้เสียแน่น
เหมือนไม่อยากจะให้หนีไปไหน
“ตื่นได้แล้วน่าจินงูจิ!”
ฮิจิริคาวะพยายามเขย่าไหล่ปลุกให้ตื่นแต่เหมือนจะไม่เป็นผลเสียเท่าไหร่
“ไม่เอาอีกแล้ว..พาฉันออกไปที”
เสียงเครือนั่นเริ่มจะหลุดสะอื้นออกมา
เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากตัวอีกคน เมื่อเงยขึ้นมองก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ดวงตาคู่สีฟ้าที่ปรือขึ้นมองเขาอยู่นั้นเต็มไปน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
จินงูจิส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นเหมือนหวาดกลัวสิ่งที่กำลังฝันถึง
ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“นายกำลังฝันร้ายอยู่เท่านั้นล่ะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เอ่ยไปเช่นนั้น
เขาเอื้อมฝ่ามือไปลูบที่ศีรษะราวกับปลอบโยนให้สงบลง
“ไม่..ฉันลืมมันไม่ได้”
ร่างนั่นยังไม่หยุดสั่นกลับกอดตัวของเขาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ฮิจิริคาวะนึกย้อนไปคืนก่อนที่จินงูจิละเมอแบบนี้
หมอนี่..อาจจะกำลังฝันถึงเรื่องเดิมอยู่งั้นสินะ
“มันผ่านไปแล้วน่า
ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องด้วยแต่นี่ก็น่าจะเป็นประโยคที่ช่วยปลอบให้อีกฝ่ายสงบลงได้บ้าง
“...ช่วยฉันทีสิ..ช่วยให้ฉันลืมมันไปที”
ฝ่ามือผละจะแผ่นหลังมาลูบที่ข้างแก้มขาว
ดวงตาคลอน้ำใสช้อนขึ้นจ้องเอ่ยเสียงเว้าวอนขอ
ฮิจิริคาวะเริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจึงพยายามจะผลักร่างอีกคนออกไป
“ทำไมล่ะ..
เพราะฉันมันน่ารังเกียจนักใช่มั้ยล่ะ” จู่ๆจากเสียงเศร้าสร้อยนั้นก็เปลี่ยนมาขึ้นเสียงใส่
พลันนัยน์ตาที่ฉายแววหวาดผวาก็กลายเป็นความเจ็บปวดที่ถูกผลักไส
สีหน้าที่แสดงถึงความทรมานของจินงูจิทำให้เขานิ่งไป
“ความโสมมพวกนี้..ฉันไม่ได้เต็มใจจะรับมาซักหน่อย!”
คนละเมอยังคงโวยวายใส่ไม่หยุดซ้ำยังคว้าร่างตรงหน้าเข้ามาแล้วกดลงไปนอนบนเตียง
‘จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบนักหรอกนะ..’
ประโยคที่หมอนั่นเคยพูดไว้ดังขึ้นมาในหัว
หรือว่าหมอนี่..
“ฉันเอง..ก็ไม่ได้สะอาดไปกว่านายนักหรอก”
ใช่..ตัวเขานั้นก็สกปรกไม่ต่างจากอีกฝ่ายเท่าไหร่
ซึ่งอันที่จริงแล้วคนตรงหน้าก็มีส่วนทำให้เป็นเช่นกัน..ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่ง..
เขาเม้มปากแน่นยามที่นึกถึงใบหน้าของคนๆนั้น
“นายน่ะ..ถูกบังคับให้ทำเรื่องแบบนี้สินะ”
แม้จะกลัวอยู่บ้างแต่ก็เอื้อมมือขึ้นไปวางเบาๆบนใบหน้าของอีกคน
แทนคำตอบเร็นขยับยิ้มออกมาแต่หากเป็นรอยยิ้มที่ช่างเต็มไปด้วยความเวทนา
ซึ่งนั่นคือรอยยิ้มที่มอบให้กับตัวเอง
“ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกนี่”
พึมพำอย่างแผ่วเบาแต่ใช่ว่าจะไม่ดังพอให้ได้ยิน
“คนเรามีสิทธิ์จะเลือกทั้งนั้นแหละ”
เขาเอ่ยตอบกลับไป
ทว่า..กลับถูกสวนกลับมาด้วยประโยคที่ฟังไม่ลื่นหูเสียเท่าไหร่นัก
“อย่างนายจะมารู้อะไร..”
นัยน์ตาของจินงูจิแข็งกร้าวขึ้นมาในทันที
ใบหน้าบึ้งตึงแบบนี้ฮิจิริคาวะเพิ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
แน่ล่ะมันทำให้เขารู้สึกโมโห แต่จะมาเถียงกับคนไม่ได้สติแบบนี้ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร
เขาจึงเลิกที่จะต่อปากต่อคำแล้วอยู่เงียบๆแทน
อีกฝ่ายที่เห็นว่าเขานิ่งไปก็เริ่มที่จะไม่พอใจเช่นกัน
“ยังไงฉันก็เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการอยู่แล้วนี่”
หยดน้ำตาจากความเศร้าโศกหยดลงบนใบหน้าขาว
ความรู้สึกอุ่นรินไหลผ่านแต้มไฝเสน่ห์ก่อนจะตกลงสู่ผ้าปูเตียง
“ถ้าฉัน..ไม่ได้เกิดมาตั้งแต่แรกก็คงดี...-
!!”
สิ้นประโยคใบหน้าของจินงูจิก็ถูกฝากรอยชกเป็นรอยที่สาม
เจ้าของหมัดยังคงกำฝือไว้แน่นพลางจ้องหน้าคนปากพล่อย ถึงจะบอกตัวเองว่าเถียงกับคนละเมอก็ไม่ได้อะไรก็เถอะ..แต่กับหมอนี่มันสุดจะทนแล้ว
“เลิกงี่เง่าซะที!
ถ้านายยังไม่เห็นคุณค่าของตัวเองแล้วใครที่ไหนจะมาเห็นกัน!!”
ฮิจิริคาวะตะคอกใส่ก่อนเตรียมจะง้างหมัดต่อยซ้ำอีกรอบ
“ต้องทำยังไงล่ะ..ต้องทำยังไงฉันถึงจะมองเห็นล่ะ?”
เป็นประโยคที่เขาไม่คิดว่าจะถูกถามกลับมา
ฮิจิริคาวะค่อยๆลดหมัดลงแล้วถอนหายใจยาวออกมา เขาเงียบไปอยู่นานพอช้อนตาขึ้นมาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงรอคำตอบจากเขาอยู่
“ก็คง..ต้องรักตัวเองก่อนล่ะมั้ง”
เขาตอบไปแบบส่งๆยังไงซะคนละเมอก็คงไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
“รักหรอ..กับคนที่ไม่เคยได้รับความรู้สึกนั้นอย่างฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนถึงเรียกว่ารักล่ะ?”
ตอนแรกที่ได้ยินก็อยากจะอ้าปากด่าเพราะคิดว่าอีกคนตั้งใจกวนประสาท แต่แล้วสีหน้าของหมอนั่นกลับจริงจังจนต้องหยุดคำด่าไว้
“เป็นความรู้สึกที่..เอ่อ..ให้กับคนที่พิเศษสำหรับนาย..คอยคิดถึง
เป็นห่วง แล้วก็อยากให้มีความสุขล่ะมั้ง” เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ
“แค่นั้นหรอ?”
จินงูจิยังคงทำหน้าไม่เข้าใจ
“ก็ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้นายเข้าใจ
แต่ก็ประมาณนี้แหละ..มั้ง”
จินงูจิกะพริบตาปริบมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มเจื่อนออกมา
“คนที่พิเศษ..
ดูห่างไกลสำหรับฉันจังเลยนะ” น้ำเสียงนั่นยังคงเศร้าอยู่เช่นเดิม
“ทุกคนก็ต่างมีความพิเศษอยู่แล้วน่า”
ก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมจะต้องมาปลอบหมอนี่..
หรือจริงๆแล้วแค่อยากจะเถียงเอาชนะหมอนี่กันแน่
“ถ้าพิเศษกันหมดจะเรียกว่าพิเศษได้ยังไงล่ะ
ยังไงก็เหมือนๆกันหมดทดแทนกันได้อยู่แล้วนี่”
หลายประโยคที่เขารู้สึกว่าจินงูจิกำลังพูดถึงตัวเองอยู่
“ไม่จริงหรอกน่า..
นายก็คือนายที่มีแค่คนเดียวบนโลก ไม่มีใครที่จะมาแทนตัวตนของนายได้หรอกนะ” เขาลูบใบหน้าแล้วใช้นิ้วเช็ดคราบน้ำตาออกให้อย่างเบามือ
จินงูจิที่ได้ฟังเบิกตากว้างและนิ่งไปครู่ใหญ่ ฮิจิริคาวะที่เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มสงบจึงผละฝ่ามืออกมาและพยายามเขยิบตัวให้พ้นมาจากตัวอีกคน
“จะไปไหนล่ะ”
โทนเสียงแบบนี้..ค่อยจะคุ้นหู
มือเอื้อมร่างตัวคนที่พยายามหนีให้กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
“ตื่นแล้วหรอ..”
เขาเอ่ยทักยามที่เห็นใบหน้านั่นกลับมาทำหน้าตากะล่อนแบบเดิม
ฮิจิริคาวะไม่ได้สะบัดข้อมือให้หลุดออกกลับจ้องสายตากลับไปอย่างท้าทาย
“เริ่มจะตื่นตั้งแต่ตอนที่ถูกนายชกล่ะนะ”
เอ่ยพลางลูบรอยแดงข้างแก้มแล้วส่งเสียงหัวเราะขำ
“ตื่นแล้วก็ดี
จะได้ไม่ต้องส่งเสียงละเมอรบกวนตอนฉันหลับอีก ปล่อยได้แล้วฉันจะนอนต่อแล้ว”
เขาทำทีเป็นยกมือป้องปากหาวใส่แล้วตะแคงหน้าหลับตาลง
ทว่า..ร่างที่คร่อมอยู่เหนือตัวเขานั้นกลับโน้มลงมาคลอเคลียจนสะดุ้งด้วยความจั๊กจี้
“อะไรกัน..นายเสนอตัวมาช่วยปลอบฉันเองนะ
ฉันหลับไม่สนิทเท่าไหร่ถ้าไม่ได้คนช่วยปลอบจนกว่าจะหลับ” กระซิบกดเสียงต่ำที่ข้างใบหูแล้วขบฟันลงเบาๆจนต้องกระตุกร่างเพราะไม่ทันตั้งตัว
ข้อมือถูกยกขึ้นแล้วแนบให้ชิดกับริมฝีปากอุ่น สายตาที่จ้องมานั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดง่ายๆอย่างแน่นอน
“อยากทำอะไรก็เชิญ
ยังไงฉันก็ขัดขืนนายไม่ได้อยู่แล้วนี่..อีกอย่างมันคงไม่มีอะไรทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปกว่านี้ได้แล้วล่ะ”
ยามย้อนนึกถึงสภาพตัวเองที่ถูกขืนใจในครั้งก่อนก็ทำให้คลื่นเหียนขึ้นมา
ได้ยินดังนั้นแล้วจินงูจิก็วาดรอยยิ้มเลศนัยน์บนใบหน้าเจ้าเล่ห์
“อ่า..ถ้าแบบนั้นก็ช่วยแบ่งความสกปรกนี้ไปจากฉันหน่อยนะ~”
โน้มลงเม้มจูบที่ยอดอกบนผิวผ้า
ลากไล่ฝ่ามือร้อนไปตามผิวกายที่ท่อนล่าง วกกลับขึ้นสอดไปใต้เชิ้ตขาวตัวบางแล้วเลิกขึ้นเผยกายเปล่าเปลือยชวนสัมผัส
ฮิจิริคาวะฟัดปากตัวเองแน่นแล้วหลบสายตาไปด้านข้างแทน
“ที่นายทำแบบนี้เพื่อที่ตัวเองจะได้รู้สึกดีจากอดีตล่ะสิ”
พยายามต่อปากต่อคำใส่อีกฝ่ายขณะถูกยัดเยียดสัมผัสน่าขยะแขยงมาให้
“ก็คงจะอย่างนั้น”
อีกฝ่ายยอมรับแต่โดยดีก่อนจะลูบลงไปที่ต้นขา
“แต่อย่าลืมสิ..คนที่ทำให้นายต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ยังมีบารอนอีกคนนะ”
จินงูจิเงยขึ้นมาขยับยิ้มให้
ยังไงเสียก็ยังมีไพ่เหนือกว่าที่จะใช้จี้จุดฮิจิริคาวะได้อยู่ร่ำไป
เขาเงียบในทันทีที่ได้ยินชื่อที่สื่อถึงคุณคามิว
เร็นช้อนร่างเขาให้ลุกขึ้นนั่งแล้วโน้มลงกระซิบประโยคที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..มามีความสุขไปพร้อมกันดีกว่าน่า..
คิดว่าฉันเป็นบารอนซะสิฮิจิริคาวะ”
รังเกียจคำพูดนั่นของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน..ทว่ารังเกียจตัวเองยิ่งเสียกว่าที่ไม่ยอมปฏิเสธไป..
กลีบปากที่นิ่งเงียบถูกบดจูบลงอย่างร้อนแรง แผ่นหลังเอนลงนอนราบไปกับเบาะนุ่ม
ท่อนขาเรียวถูกจับยกแยกให้ออกจากกัน เปลือกตาปิดลงเพื่อลบภาพของคนตรงหน้า..
ก่อนจะถูกแทนด้วยภาพของผู้ที่คะนึงหาอยู่ตลอด.. ขยับส่งเสียงครางสลับกับเรียกชื่อนั้นออกมา
“อ..-...คุณคามิว..”
ไม่คิดว่าจะแต่งต่อเหมือนกันแต่มีคนคอยยุ(?)จนไถออกมาต่อจนได้