10.13.2561

[oneshot utapri] Redacted (RenMasa)

fan-fiction utapri

Title: Redacted
Pairing: Jinguji Ren x Hijirikawa Masato
A/N: เป็นวันช้อตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธีม AGF ปีนี้ ไม่ได้เขียนมาสักพักใหญ่ ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะเขียนจบได้ทั้งที่เป็นเรื่องสั้นแท้ ๆ ใช้เวลาอ่านน่าจะแค่ 3 นาที แต่เราเขียนเป็นอาทิตย์เลยนะ 555





               เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น ฝ่ามือขาวยกมาบังไว้ ท่าทางของชายหนุ่มดูไม่สู้ดีนัก ผมสีน้ำเงินชื้นเหงื่อหยดไหลลงมาตามกรอบหน้า ในลำคอยังไม่หายระคาย ต้องยันกายลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ผ้าปูที่นอนซุกอยู่เมื่อครู่มีไอร้อนติดอยู่จาง ๆ นัยน์ตาคู่สีอเมทิสต์กวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสลดลงเล็กน้อยเมื่อไม่พบผู้ที่ตนคาดหวังว่าจะอยู่

จะลุกเดินไปหยิบยาเพียงยืนก็ยังจะไม่ไหว นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุร่างกายนี้ก็อ่อนแอลง เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้ต้องสูญเสียความทรงจำไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดมีแค่ 'จินงูจิ เร็น' เท่านั้นที่เป็นผู้เล่าเรื่องราวและคอยช่วยเหลือดูแล รอยแผลที่หลังยังคงเจ็บเป็นระยะ น่าจะยังไม่หายขาดเพราะต้องพันผ้าปิดไว้ เพราะไม่อยากเป็นภาระจึงเสนอจะทำเองแต่ก็ถูกค้านทุกครั้ง นึกแปลกใจอยู่ว่าก่อนหน้านี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ทุกรอบที่ถามจะได้รับคำตอบว่า 'เป็นสิ่งสำคัญ'

บานประตูถูกเปิด คนข้างในห้องหันมองไปทางที่ว่า เห็นหลังของผู้กำลังปิดประตู เรือนผมสีทองยาวประบ่าทำให้รับรู้ว่าคือคนที่คุ้นเคย เจ้าของร่างหันมาขยับยิ้มดั่งเช่นทุกที

               "ตื่นแล้วหรอ เป็นยังไงบ้าง?" ตรงเข้ามานั่งลงข้าง ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

ริมฝีปากซีดยิ้มตอบให้จินงูจิ

               "ดีขึ้นกว่าวันก่อน แต่ยังเจ็บที่หลังอยู่เลย" ไม่ทันจบประโยคดี เสียงไอก็ดังขึ้นมาอีก

เมื่อได้ยินอีกคนจึงลุกไปหยิบขวดยามาแล้วส่งให้ เมื่อคนป่วยปิดฝายกดื่มแล้วจึงใช้แขนโอบให้มาพิง ชิดจนได้เสียงหายใจหอบอ่อน ๆ จากความเหนื่อย ฝ่ามือเลื่อนไปลูบที่เส้นผมสีน้ำเงินอย่างปลอบโยน

               "ฉันจะคอยดูแล ไม่ทิ้งนายไปไหน" เปี่ยมไปด้วยความจริงจัง

ดั่งที่พูดก็เป็นจริง เพราะไม่เคยที่จะปล่อยให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน เพิ่งจะมีวันนี้เป็นหนแรกที่ตื่นมาแล้วไม่พบหน้า เหมือนว่ากลัวจะหายไป

               "แต่ฉันเกรงใจนาย ฉันจำนายไม่ได้ด้วยซ้ำ" รอยยิ้มเจื่อนลง ผละตัวออกมาเว้นระยะไว้เล็กน้อยก่อนจะเงยมอง

               "ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ รู้ไว้แค่ว่านายสำคัญกับฉันก็พอ" สบตากลับยามเอ่ยพูด

ปลายนิ้วแตะลงที่แต้มไฝเสน่ห์ใต้ตาขวา วางมือประคองใบหน้าด้วยความถะนุถนอม

สองมือขาวยกขึ้นบ้าง เอือมวางไว้ที่เรือนผมสีทอง ลูบไล่ลงมาเกาะเอาไว้ที่แผ่นหลัง สัมผัสที่มีสิ่งต่างจากมนุษย์ทั่วไป ฝ่ามือวางลงบนปีกสีดำคล้ายค้างคาวแต่มีขนาดใหญ่

นึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าเคยพบกับปิศาจได้อย่างไร และทำไมปิศาจตนนี้ถึงได้มอบความสำคัญมาให้มากมายขนาดนี้

               "ฉันเป็นแค่มนุษย์นะ เป็นสิ่งที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับนาย" เอ่ยด้วยเสียงเบา แต่โอบปีกและหลังอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้น ส่วนลึกในใจรู้ดีว่าอายุขัยของมนุษย์ช่างสั้น และยิ่งสุขภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้คงเป็นได้แต่ภาระ

ปิศาจชะงักมือที่ลูบเรือนผมและเงียบไปครู่หนึ่ง

               "ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ นายไม่ได้อ่อนแอเสียหน่อย" พูดเสียงเบา ไล้นิ้วแทรกไปตามเส้นผมนุ่ม นิ่งปล่อยให้ถูกกอดไว้แบบนั้น

               "นายเป็นปิศาจที่ใจดีจังนะ น่าเสียดายที่คนอื่นมักจะเหมารวม" คลายอ้อมแขนออกแล้วเงยขึ้นจ้องด้วยใบหน้าที่ดูเหนื่อยอ่อน

ปิศาจผละฝ่ามือออก เลื่อนลงมาทาบหลังมือไว้บนข้างแก้มพร้อมคลี่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมในปาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวแต่อย่างใด กลับมีแต่ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นสำหรับตน ชายหนุ่มผมสั้นยิ้มตอบเอียงศีรษะรับสัมผัสที่แนบหน้าอยู่

               "ฉันพยายามนึกเรื่องของนายแต่ก็นึกไม่ออกเลย เหมือนกำลังเอาเปรียบนายที่ต้องมาคอยอยู่กับคนที่ลืมเรื่องราวของตัวเองไปจนหมด กลายเป็นคนแปลกหน้า" ดวงตาหลบลงเบื้องล่าง เม้มปากพยายามยื้อรอยยิ้มคงไว้

ความรู้สึกน้อยใจในตัวเองที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะจำได้ ทั้งที่ได้รู้ว่าสำคัญแค่ไหนแต่จะไม่หลงเหลือเอาไว้แต่สักนิดเลยหรือ

               "ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย อย่าโทษตัวเองเลยนะ ยังไงเราก็ทำความรู้จักกันใหม่ได้ไม่ใช่หรอ" ใช้ปลายนิ้วดันคางเบา ๆ ให้เงยหน้าขึ้นมา ซบหน้าผากลงชิดกัน

เปลือกตาทั้งคู่ปิดลงและค้างแบบนั้นอยู่เนิ่นนาน สงบใจราวเป็นที่พักพิง มนุษย์ผู้อ่อนแอไม่มีที่ไป ซ้ำยังโชคร้ายจำสิ่งใดไม่ได้ หากไม่มีปิศาจตนนี้ช่วยเอาไว้ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะเป็นอย่างไร

               "ความทรงจำเรื่องที่เกี่ยวกับนาย..ฉันรู้สึกเสียดายที่ลืมมันไป" พูดกระซิบแผ่ว ใกล้แทบจรดริมฝีปาก สันจมูกอิงแนบรับรู้ลมหายใจอุ่นกันและกัน

               "ไม่ต้องฝืนหรอก แค่ที่เป็นในตอนนี้..ได้อยู่ด้วยกันก็นับเป็นความทรงจำที่ดีแล้วไม่ใช่หรอ" ฝ่ามือเลื่อนลงแทรกประสานนิ้วเข้าไว้ด้วยกัน กุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวจะหลุดมือไป

คนได้ฟังมุ่นคิ้วอย่างสงสัยในประโยค ปรือตาขึ้นมองก่อนตั้งคำถาม

               "นายพูดเหมือนก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นอย่างนั้นหรอ?" ถอยตัวออกมาแล้วสบตารอคำตอบ

ในแววตาปิศาจสลดลงจนสังเกตได้ดั่งถูกสะกิดปมในใจ ฝ่ามือออกแรงบีบมากขึ้นอย่างลืมตัว

               "..ฉ-ฉัน..เจ็บ" ชายหนุ่มส่งเสียงร้องบอกพร้อมทั้งนิ่วหน้า พยายามดึงมือออกมาก่อน

เมื่อปิศาจได้ยินจึงได้สติกลับคืน รีบคลายมือทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

               "ฉันขอโทษ.." จินงูจิถอยตัวออกห่างกำมือตนเองแน่นก่อนจะไปไขว้หลบไว้ที่ข้างหลัง กลัวว่าจะเผลอทำอันตรายอีก

ทว่าอีกคนนั้นกลับเขยิบตัวตาม เลื่อนไปคว้าแขนดึงให้ยื่นมือกลับมา ปิศาจเงยมองด้วยความลังเลแต่ก็ยอมให้จับมือไว้ตามเดิม

               "ไม่เป็นไรหรอก คงเป็นเรื่องที่นายไม่อยากนึกถึงสินะ" ดึงฝ่ามือมาแนบไว้ที่กลางอก ดวงตาช้อนมองหาแววตาที่เสหลบไปทางอื่น

ปิศาจเม้มปากแน่นก่อนจะยอมสบตากลับ มองลึกเข้าไปเผยความเศร้าสร้อยที่ซ่อนอยู่ รับรู้ได้ถึงความอ่อนแอและหวั่นไหว ชวนให้ใจกระตุกวูบตาม จังหวะการเต้นในอกสั่นระรัวจนเจ้าของฝ่ามือที่วางทาบไว้อยู่รู้สึกได้

               "นี่ ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว อย่าทำหน้าเศร้าเลยนะ ฉันจะไม่ถามนายเรื่องในอดีตอีก" มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมวางทาบบนหน้าของปิศาจ ไล้ปลายนิ้วโป้งกดลงที่มุมปากที่ตกลงจนกระทั่งยอมคลายแล้วยกขึ้นแทน

               "นั่นสินะ.. ตอนนี้นายก็อยู่ตรงนี้ด้วยกันแล้ว" ขยับมือที่แนบอกมาวางไว้ที่ต้นแขน ลูบไล่ลงมาเพื่อสัมผัสตัวเสมือนจะย้ำว่าคนตรงหน้ายังอยู่ด้วยจริง ๆ

ริมฝีปากซีดคลี่ยิ้มบางเขยิบตัวหันหลังเอนพิง ฤทธิ์ยาที่ได้รับทำให้รู้สึกงัวเงีย คงจะได้เวลาที่ต้องพักผ่อน เปลือกตาปิดลงปล่อยลมหายใจยาว หัวไหล่ถูกจับประคองไว้ให้กลับมานั่งตามเดิมก่อน จนต้องปรือตามองอย่างสงสัย

               "นายต้องทำแผลก่อนนะ" ปิศาจเอ่ยบอก

คนป่วยพยักหน้ารับแม้จะรู้สึกอยากนอนแล้วก็ตาม นั่งนิ่งอยู่บนเตียงระหว่างที่รออีกฝ่ายนั้นเดินไปหยิบอุปกรณ์มาเปลี่ยนผ้าพันแผล รู้เพียงว่าข้างหลังมีรอยแผลที่ยังคงไม่หายดี และจะเจ็บเป็นระยะตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น

สองมือปลดกระดุมเสื้อออก ถอดวางไว้ข้างตัว ที่ส่วนอกมีผ้าขาวพันปิดไว้รอบ หันมองปิศาจที่เดินกลับมานั่งตามเดิม ผ้าพันแผลเก่าถูกแกะออกอย่างระมัดระวัง สองแขนยกขึ้นไว้ระดับศีรษะอำนวยความสะดวกให้


ปิศาจก้มลงมองแผ่นหลังเปลือย เอื้อมมือลงไปใกล้ยังแผลที่ว่า นัยน์ตาคู่สีฟ้าหรี่จ้องร่องรอยที่หลงเหลือ




               "หยุด!! นายคิดจะทำอะไร!!"
เสียงตะโกนดัง แผดร้องด้วยความหวาดกลัว ฝังลึกในโสตประสาทวนเวียนแว่วให้ได้ยินอยู่ซ้ำครั้ง


               "ไม่.. อย่า..ทำแบบนี้"
สะอึกสะอื้นเอ่ยอ้อนวอน หยาดน้ำตาที่อาบบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหวาดกลัว เป็นภาพที่ยากจะลืมเลือน


               "อย่า..ตัด..ปีกของฉัน..."
กรีดร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ในดวงตาของเทวดาจ้องมองปิศาจผู้ตัดปีกตนอย่างสิ้นหวัง


ส่งเสียงร้องระงมท่ามกลางขนสีขาวที่ปลิวว่อน


หากไร้ซึ่งปีกก็สูญสิ้นทุกสิ่ง


จิตใจแตกสลายจนไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งใดอีก




ขนนกสีขาวร่วงหล่นลงมาเมื่อดึงผ้าพันแผลออก นัยน์ตาคู่สีฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เอื้อมลงหยิบแล้วขยำคาไว้ในฝ่ามือ บางส่วนของปีกนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกลับคืนดังเดิมได้อีกต่อไป

หยดยาลงใส่ที่รอยแผลแล้วพันผ้าไว้รอบเพื่อปกปิด ประคองร่างให้เอนลงนอนบนเตียงนุ่ม เอนกายตามไปอยู่เคียง ลูบเส้นผมสีน้ำเงินอย่างแผ่วเบา จนกระทั่งเปลือกตาปิดลงเข้าสู่นิทรา ลูบไล้ดวงหน้าของร่างที่นอนนิ่ง โน้มลงหาแนบจุมพิตลงประทับยังกลีบปาก เฝ้ามองผู้หลับใหลอย่างไม่ห่างกาย


               "ฉันจะไม่ปล่อยนายไปจากฉันอีก.."



ช่วงชิงซึ่งอิสระ เพื่อกักขังเอาไว้


ต่อให้ถูกเกลียดชัง เพียงได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาลก็ยอม



-end-

6.18.2561

[Fic Utapri] L I n E (Renarty x Masato)

Fan-fiction utapri

Title: L I n E
Pairing: James Renarty x John H. Masato (RenMasa)

A/N: พล็อตนี้อ้างอิงบทจากเวิร์ส Detective Tokiyalock (Sherlock Holmes parody) นะคะ
เนื้อเรื่องแล้วแต่ว่าอยากเขียนฉากไหนที่นึกออกก็เขียน จบสั้น ๆ ในตอน (จริง ๆ มีพล็อตหลักแล้ว อาจจะงง ๆ ที่ไม่มีเกริ่นอะไรก่อนบ้าง..)



"คงจะดีกว่าถ้าพวกเราไม่ได้รู้จักกันในแบบที่เป็นอยู่"

แว่วเสียงทุ้มลอยดังมาตามลมโกรกบนดาดฟ้าตึกสูง

"เธอเองก็คิดเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ คุณหมอ?"

เงาร่างสูงในชุดสูทสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าสีดำยืนหยุดนิ่งที่สุดเส้นทางจะเดินต่อ เรือนผมยาวสีน้ำตาลทองปลิวไปตามแรงพัด หันใบหน้ากลับมามองผู้ไล่ล่าด้วยนัยน์ตาสีฟ้าพร้อมวาดยิ้มส่งมาในแบบที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก

"พวกเราไม่ควรรู้จักกันเลยต่างหาก"

น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ต่างจากแววตาที่จ้องกลับ พูดตะโกนตอบไปให้ดังพอที่จะส่งผ่านระยะทางที่ห่างกันพอควร ผมสีน้ำเงินไหวพลิ้วจนยุ่งเหยิงแทบไม่เป็นทรง

ควันขาวพ่นออกจากปากคนหอบหายใจ สองเท้าก้าวเดินเข้าไปหา หวังต้อนให้คนสุดปลายทางไม่ให้หลบหนี ฝ่ามือขาวขยับเคลื่อนไปปลายเสื้อกั๊กข้างเอวอย่างเชื่องช้า กระชับปืนพกที่เหน็บหลบไว้ด้านหลัง

"นายหนีไม่ได้แล้ว หยุดซะเถอะ"

เปล่งเต็มเสียงแสดงความจริงจัง ขึ้นไกปืนไว้เตรียมพร้อม

"ถ้าฉันไม่หยุดล่ะ?"

หมุนตัวกลับมาประจันหน้า เมฆหนาลอยเคลื่อนตัวพ้นออกเผยฟ้าโปร่งโล่ง แสงจันทร์สาดลงให้เห็นรอยยิ้มขณะเอ่ยถามนั่นได้ชัดเจน

"ฉันจะเป็นคนหยุดนายเอง"

เอ่ยพร้อมคว้าปืนที่ซ่อนไว้ออกมา สองมือประคองเล็งใส่ที่ผู้ที่ยืนเบื้องหน้า แตะนิ้วลงพร้อมที่จะเหนี่ยวไกใส่

"แบบนี้ไม่ผิดจรรยาบรรณหรือคุณหมอ"

ส่งเสียงคลอหัวเราะไม่มีท่าทีจะตื่นตระหนกแต่อย่างใด สองแขนผายออกไปข้างลำตัว จ้องอย่างท้าทายใส่

"ฉันไม่ได้จะฆ่านาย ฉันจะยิงเพื่อหยุดนาย"

โอกาสเดียวที่จะหยุดทุกสิ่งก่อนที่จะเลวร้ายไปมากกว่านี้

กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอ พยายามผ่อนลมหายใจให้ดูเป็นปกติที่สุดซ่อนความประหม่า ยิ่งยกค้างไว้นานก็ง่ายต่อการจับสังเกตได้ว่ามือกำลังสั่น

"ถ้าอย่างนั้นก็ยิงเลยสิ.."

ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ยกย่างก้าวสาวเท้าเข้าใกล้ไม่หนีออกจากวิถีกระสุน ตั้งศีรษระตรงไม่เปลี่ยนระดับสายตาหรือละออกจากภาพของกระบอกปืน

"ฉันไม่ได้แค่ขู่นายหรอกนะ"

รู้ดีว่ากำลังถูกชักจูงให้ไขว้เขว ตรงหน้าเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญเรื่องการเล่นเกมจิตวิทยา ตนไม่มีทางที่จะยอมโดนปั่นหัวได้โดยง่าย

"เธอทำไม่ได้หรอก"

ช้อนดวงตาขึ้นสบ จงใจมายืนอยู่ในระยะที่ไม่มีทางจะยิงพลาด

แต่อีกนัยนึงก็ง่ายต่อการโต้กลับและยึดอาวุธมาได้อย่างสบาย ทักษะด้านการต่อสู้และพละกำลังยังไงก็เหนือกว่า การที่จะหลุดจากสถานการณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย

ต่างฝ่ายต่างรู้เรื่องนี้ดี

"มอบตัวซะ และรับผิดทุกอย่าง"

จะเกลี้ยกล่อมก็ดูไม่มีวี่แวว หากไม่มีทางเลือกก็จำเป็นจะต้องยิง ริมฝีปากเม้มแน่น

"ไม่ได้หรอก ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ"

เผลอถอยออกห่างอย่างลืมตัว เมื่อคนข้างหน้าเข้ามาใกล้อีกก้าว ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา ในตอนแรกคิดว่าตนมั่นใจว่าสามารถทำได้ ทว่าตอนนี้ความลังเลกลับก่อตัวขึ้นมา

"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! อย่าเข้ามาใกล้"

ลืมตัวส่งเสียงตะโกนทั้งที่ยืนอยู่ไม่ได้ไกลจากกัน เก็บอาการไว้ไม่อยู่ทั้งแววตา สีหน้า และน้ำเสียงที่สั่น

ไม่ฟังคำห้ามปราม ขายาวจงใจเดินเข้ามาใกล้ ฉับพลันเสียงปืนก็ดังลั่น ประกายไฟปลายปากกระบอกปืนฉายสีสว่างรับกับควันร้อนที่ออกมา กระสุนพุ่งตรงมุ่งเข้าใส่

ชายผมทองยกยิ้มมุมปาก ชั่ววูบเดียวเท่านั้นที่คล้ายว่าในดวงตาคู่สีฟ้าฉายความไม่มั่นคง ก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิมที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์กลบซ่อนทุกความในใจ เสี้ยววินาทีที่แค่ขยับตัวก็หลบได้ แต่เลือกที่จะหยุดอยู่นิ่ง

เนื้อผ้าขาดเป็นรอยโหว่ ซึมด้วยสีเลือดแดงเข้มที่ไหลออกมาจากจุดถูกยิง กดทับแผลที่ข้างเอวด้วยถุงมือหนังสีดำ ทรุดลงไปยืนด้วยเข่า เงยขึ้นมองผู้ที่เหงื่อแตกจนเต็มใบหน้าและสองมือ ดวงตาคู่อเมทิสต์เบิกกว้าง แสดงอาการตกใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากลั่นไกปืน

"เธอทำได้..แบบที่บอกจริง ๆ ยินดีด้วยนะ..คุณหมอ"

ความเจ็บแปลบที่บาดแผลค่อย ๆ ชาเพราะสูญเสียเลือด เหลือแต่ความทรมานที่ยังคงรู้สึกร้าวอยู่กลางอก


ยิงหรือไม่ยิง

ไม่ว่าจะทางเลือกใด

สำหรับเขาค่าก็เท่ากัน


หากเลือกที่จะไม่ยิง ก็แปลว่ายังลืมและข้ามผ่านมาไม่ได้
ไม่มีฝ่ายใดที่ไม่ทรมาน


หากเลือกที่จะยิง ก็แปลว่าไม่เหลือความรู้สึกใด ๆ อีกแล้ว
มีเพียงฝ่ายเดียวที่ยังคงทรมานคือเขา


"ยังไม่สายหรอกนะ.. ถ้านายหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้"

กระบอกปืนลดระดับลงแต่ยังถือไว้เพื่อคอยคุม สีหน้าแสดงออกถึงความเป็นห่วง แม้จะประเมินได้ว่าบาดแผลนั้นไม่ร้ายแรงถึงชีวิต

"เสียใจด้วยนะ เพราะ..ไม่ว่ายังไง..ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก"

เอ่ยตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก มองตามคนที่ย่อตัวลงมาเพื่อตรวจดูรอยแผล

"ทำไมนายไม่หลบ.."

ก้มมองเลือดที่ยังคงไหล หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วกดลงบนแผลเพื่อห้ามเลือด อีกไม่นานตำรวจก็จะตามมาถึง

"เพราะมันคือความต้องการของเธอ"

เลื่อนมือที่เย็นเฉียบวางทาบบนหลังมือขาว แม้สีหน้าจะเหยเกก็ยังฝืนยิ้ม

"นายบังคับฉันต่างหาก"

เลือดเริ่มซึมออกมาช้าลง ขณะจะยกมือผละออกก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน จึงหันหน้าไปหา แต่พบว่าห่างเพียงระยะไม่เกินช่วงลมหายใจ สันจมูกโด่งเฉี่ยวที่ข้างแก้มเพียงมิลลิเมตร ชะงักค้างจ้องนัยน์ตาคู่สีฟ้า อ่านไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เลื่อนเข้ามาใกล้จนไม่อาจละสายตามองไปทางอื่น จับฝ่ามือขึ้นมากุมเอาไว้ ยกอีกข้างวางไว้ที่หลังต้นคอ โน้มเข้ามาชิดจนกระทั่งริมฝีปากแทบจะแตะกัน

"ขอโทษนะ..มาซาโตะ"

สิ้นเสียงเอ่ยกระซิบ กระแสไฟฟ้าก็ช็อตเข้าสู่ร่างจนสิ้นสติ แหวนเงินซึ่งสวมทับบนถุงมือฉายแสงประกายเป็นเส้นสีขาวคล้ายฟ้าแลบ แม้จะไม่แรงจนเกิดอันตรายแต่ก็มากพอที่จะทำให้สลบได้

สองแขนประคองร่างให้นอนลงบนพื้น เคลื่อนตัวได้ไม่ถนัดนัก รอยที่ถูกยิงแม้จะไม่สาหัสแต่ก็สร้างความลำบากได้ไม่น้อย ฝ่ามือล้วงไปใต้เสื้อสูท หยิบกล่องเหล็กที่ซุกเอาไว้ออกมาเปิด เข็มฉีดยาขนาดเล็กถูกบรรจุยาไว้เตรียมพร้อม แกะเปิดฝาเข็มออกก่อนที่จะปักลงห่างจากบริเวณแผลออกมาไม่มาก ยาชาฤทธิ์กดประสาทถูกฉีดเข้าไป เพียงไม่นานความรู้สึกเจ็บก็หายเกือบปลิดทิ้ง

เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่เหลือทิ้งร่องรอยอื่นใดที่จะระบุตัวของตนได้ก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วรีบออกไปจากบริเวณนั้นก่อนที่ตำรวจจะตามมาถึง

สิ่งที่ติดมือมาด้วยคือผ้าเช็ดหน้าผืนที่ถูกใช้ห้ามเลือด



"ไม่คิดว่าคนเช่นเจ้าจะพลาดท่าได้"

เสียงเอ่ยทักดังขึ้นเมื่อได้ย้ายขึ้นมานั่งบนรถที่จอดรอไว้ตามแผนที่นัดกันไว้

สองแขนกอดอก ยกขานั่งไขว่ห้างบนเบาะหลัง ดวงตาสีเกล็ดน้ำแข็งใต้เงาของหมวกที่สวมปรายมองสภาพที่หาดูได้ยากจากคนที่อยู่ด้านข้าง

"ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบบนโลกนี้หรอกนะคุณบอสแห่งคามิลโล่"

พูดตอบพลางหัวเราะเสมือนไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร

"หึ ข้าช่วยเจ้าในหนนี้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลที่ให้มา ครั้งหน้าจะไม่มีอีก"

ทุกสิ่งมีราคา แต่แม้ว่าข้อเสนอหลายอย่างจะน่าสนใจ แต่การเข้าไปยุ่งกับคน ๆ นี้มากจนเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี

เจมส์ เรนอาตี้ บุคคลที่เป็นที่รู้จักในนามศาสตราจารย์อายุน้อยชื่อดัง ฉลาดหลักแหลม แต่ในโลกอีกด้านนั้นรู้กันเป็นอย่างดีว่าอันตรายแค่ไหน

"ฉันจะรอครั้งหน้าที่ได้ร่วมธุรกิจกันอีกนะ แต่ก่อนอื่นคงจะต้องหาหมอคนอื่นก่อนซะแล้วล่ะ"

พูดดักไว้ราวกับแน่ใจว่าจะต้องได้ติดต่อกันอีกอย่างแน่นอน



3.05.2561

[Fic Utapri: Lycoris no Mori]「Into the forest」Victor x Alvin (RenMasa)

Fan-fiction Utapri Shining Masterpiece Show: Lycoris no Mori

Title: Into the forest
Pairing: Victor(Ren) x Alvin(Masato)

A/N: ฟิคเรื่องนี้เริ่มแต่งก่อนที่เนื้อเรื่องเต็มจะออกค่ะ อาศัยคาร์จากแค่ตอนที่ประกาศผังความสัมพันธ์ตัวละครในเรื่องกับตัวอย่างบทพูดมาเป็นพื้นในการเขียน ซึ่งพอแต่งไปได้สัก 50-60% แล้วนั้น...เนื้อเรื่องเต็มก็ออกมา เลยมาปรับ ๆ บ้างนิดหน่อย //สงบนิ่งในป่า
คาร์ในเรื่องกับเหตุการณ์และข้อมูลจะมีไม่ตรงกับในเนื้อเรื่องในลิโคริสอยู่บ้าง
ภาษาในเรื่องจะมีหลัก ๆ สองแบบ เป็นคำคล้องคล้ายนิทานกับบรรยายธรรมดาค่ะ ตอนแรกก็กะว่าจะให้เป็นเดินเรื่องไวผ่านไว แต่สุดท้ายออกมายาวขนาดนี้จนได้..
พล็อตส่วนนึงมาจากการร่วมเวิ่นกับเน่จัง

Warning: NSFW, แอบสปอยล์ด้วยหรือเปล่านะ..คงไม่มั้ง..



Into the forest


ภูตผี

ปิศาจ

สัตว์ร้าย

พ่อมด


              ตำนานเล่าลือนานาสารพัด ปากต่อปาก รุ่นต่อรุ่น บ้างก็ว่าเป็นเรื่องจริงที่ปู่ทวดย่าทวดเคยได้เจอ บ้างก็ว่าเป็นนิทานที่แต่งขึ้นหลอกเด็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าไปเล่นซุกซนข้างในป่าลึก

สิงสาราสัตว์ตัวจ้อย เสียงร้องโหวกเหวก ต้นไม้สูงใหญ่เชียวชอุ่ม อุดมไปด้วยผลไม้พืชพรรณนานาชนิด ดอกไม้สดสวย สมุนไพรปรุงยา ยามแสงแดดส่องถึงดูไร้พิษภัย ยามอาทิตย์ลับขอบฟ้ากลับมืดมิดจนมองเห็นกระทั่งเนื้อไม้กลายเป็นสีดำ เสียงเริ่มเงียบเชียบมีเพียงแววตาน่ากลัววะวาวส่องอยู่ในไพร ช่วงราตรีเป็นที่รู้กันดีว่าป่าแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่อันตราย โดยเฉพาะในส่วนลึกอันเป็นเขตหวงห้าม

ว่ากันว่ามีผู้ลึกลับนิสัยแสนพิลึกหมกตัวไม่สุงสิงใคร เก็บของป่าทำคุณไสย เล่นเวทมนตร์ทำของ ด้วยความแปลกประหลาดจึงถูกขับไล่จากขาวบ้าน เป็นที่น่ารังเกียจจนต้องระเห็จหนีไปซ่อนตัวและอาศัยอยู่ในนั้น

              เนิ่นนานนับผ่านไปหลายปีหมู่บ้านอันเงียบสงบก็เริ่มเกิดเรื่องประหลาดขึ้น ทั้งวัว ทั้งแกะ และไก่ ที่เลี้ยงไว้ถูกฆ่าตายแทบทุกคืน จงใจทิ้งเหลือซากและคราบเลือดแสนน่าสยดสยองเอาไว้ ความหวาดผวาคืบคลานเข้ามาปกคลุมจนทุกคนต่างหวาดกลัว เพียงยามแสงตะวันคล้อยลงปริ่มกับขอบฟ้า พลบค่ำใกล้เข้ามา เด็กน้อย และสตรีต่างวิ่งกรูพากันหลบเข้าในตัวบ้าน เรือนทุกหลังรีบปิดประตูหน้าต่างทุกช่องทาง บ้างก็หาไม้กระดานมาปิดกั้น ปิดทั้งม่านทั้งไฟให้เงียบกริบ จนละม้ายคล้ายดั่งเมืองร้าง

เหล่าบุรุษในชุมชนออกมารวมตัวกันหารือ เสนอให้ผลัดเวรยามกันเฝ้าตลอดคืน ปืนผา หน้าไม้ขนกันมา ยืนคุ้มกันอยู่หน้าคอกและเล้าสัตว์ จุดคบเพลิงเดินไล่ตรวจตราให้รอบ พาสุนัขใหญ่เดินว่อนช่วยคุ้มกัน

ยามราตรีเข้าครอบงำทั่วผืนฟ้า แสงจันทราส่องสว่างเต็มดวง เสียงเห่าหอนดังขึ้นระงำ เงาตะคุ่มไหวอยู่ในแนวไพร นัยน์ตากร้าวเรืองแสงแสยะยิ้มเผยเขี้ยวคม

ชวนขวัญผวาจนพากันยืนขาสั่น ทั้งสองมือที่ถือหม้าไม้กลับแข็งทื่อไม่แม้แต่จะเล็งได้ ชั่วพริบตาที่เงาดำพุ่งเข้ามา ตะปบเล็บปัดให้กระเด็น ส่งเสียงดังกรีดร้องโหยหวน กว่าผู้คนจะวิ่งมาก็สายไป

กองเลือดแดงชาดนองเต็มพื้น สภาพศพเสื้อขาดวิ่นตัวเป็นชิ้น นอนแน่นิ่งเหลือเป็นซากถูกกัดกิน



               "ฉันเห็นมัน..ปิศาจหมาป่า.. เขี้ยวของมันแหลม ดวงตาของมันน่ากลัวมาก" ถ้อยคำเอือนเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่น

สิ้นสุดคำชาวบ้านรีบพากันกรีดร้องส่งเสียงโวยวายด้วยความตื่นตระหนก หมู่บ้านกำลังตกลงอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อการล่าเริ่มจะเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมนุษย์

               "แต่หมู่บ้านเราไม่เคยถูกหมาป่าโจมตีมาก่อน ทำไมถึง.." กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันถึงสาเหตุว่าอะไรทำให้หมู่บ้านถูกปิศาจร้ายโจมตี

               "พวกมันอยู่ข้างในป่ามานาน หรือมีอะไรทำให้พวกมันออกมา"

เสียงซุบซิบดังขึ้น สายตาสอดส่ายมองกันไปรอบตัว ป้องปากไว้ทำทีเป็นพูดเบา แต่ส่งต่อเป็นทอดจนกระจายทั่วถึง

จนกระทั่งมีผู้หลุดพูดชื่อนามนั้นที่เป็นที่ต้องห้ามออกมา

               "อัลวิน.." นามของบุคคลอันเป็นรังเกียจ

ทุกคนปิดปากเงียบงันในบัดดล ต่างพากันมองหน้าสลับกันไปมา หน้าซีดเหงื่อตกคล้ายคนมีชนักปักคาหลัง

               "เจ้าหมอผีประหลาดนั่นต้องแค้นพวกเราแน่ๆ" ฝ่ามือเหี่ยวยกขึ้นป้องปากพูดอย่างสั่นกลัว กวาดสายตาไล่มองไปรอบกาย

              'อัลวิน' นามของชายหนุ่มซึ่งเคยอาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ซ้ำยังเป็นญาติของเด็กหนุ่มที่เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน แต่ด้วยนิสัยผิดแปลกไปจากฝูงชน หลบตัวอยู่แต่ในห้องมืด ซุกซ่อนใบหน้าไว้อยู่ใต้ผ้าคลุมสีทะมึน ว่ากันว่าชอบปรุงยาร่ายคาถายามค่ำคืน อ้างว่ารู้เห็นอนาคต จนสุดท้ายถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดจึงถูกกลั่นแกล้งและเกลียดชัง จะเดินไปทางใดผู้คนก็หลบ เด็กเล็กที่ถูกฝังหัวก็พากันหัวเราะเยาะ บ้างก็ขว้างปาสิ่งของใส่ไล่หลัง จนต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึกอย่างเดียวดาย

               "มันต้องตั้งใจล้างแค้นพวกเราที่ขับไล่มันไป! พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ! พวกเราจะทำยังไงกันดี!" หนึ่งในนั้นเริ่มจะหวั่นวิตก ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะพูดโวยวายซ้ำไปซ้ำมา

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น ต่างพากันแข่งตะโกนโหวกเหวกจนจังฟังศัพท์ไม่ออก กลับสู่ความวุ่นวายเหมือนในตอนแรก กระทั่งเมื่อชายชราท่าทางดูน่าเกรงขามยกมือขึ้นพร้อมพูดปรามให้ทุกคนเงียบลง

               "อย่าเพิ่งหวาดกลัวกัน ในฐานะหัวหน้าของที่นี่ฉันจะไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก" สิ้นคำกล่าวชาวบ้านทุกคนก็กลับมาอยู่ในความสงบ

               "ใครก็ได้ช่วยไปตามวิกเตอร์มาที ถ้าได้เขามาช่วยพวกเราก็น่าจะเบาใจได้บ้าง" ชายแก่ผมหงอกขาวหันไปสั่งกับลูกน้องตน
'วิกเตอร์' นายพรานผู้มีความสง่าและกล้าหาญ คอยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านตามเกิดอันตรายและปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันทั่ว เดินไปทางไหนต่างตามด้วยเสียงเยินยอ ทุกคนต่างให้ความเทิดทูนและยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ



แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดั่งสีขาวและดำ

หนึ่งคือฮีโร่อันที่ยกย่อง รายล้อมด้วยฝูงชน

แต่หนึ่งคือพ่อมดน่ารังเกียจ ผู้โดดเดี่ยว



               นายพรานหนุ่มผมยาวประกายทองรวบไว้เป็นหางม้า ใบหน้าผิวสีแทนดวงตาสีฟ้า รูปร่างสูงโปร่งกำยำสมชาย ท่าทางทะมัดทะแมงสะพายปืนคู่กายไม่ห่างตัว ขยับยิ้มกระหยิ่มรับคำขอ จะช่วยเหลือหมู่บ้านที่ตื่นกลัว พร้อมก้าวเท้าเดินจากหมู่บ้านไป
มุ่งตรงเข้าสู่ป่าสะพรึง แต่แววตาเต็มเปี่ยมความมั่นใจ หลายต่อหลายครั้งเคยที่เคยย่ำผ่านมาที่นี่ จะยามแสงสาดส่องถึงเป็นทางสว่าง หรือแม้ยามมืดมิดมองไปไม่เห็นทาง ตนนั้นก็ไม่เคยหวาดหวั่นหรือยำเกรง

มาครั้งนี้ไม่ต้องคลำหาทางใหม่ ก็เคยไปมาผ่านทางอยู่หลายหน ก็เจ้าคนประหลาดแบบนั้นคงต้องจำใครจะลืม

มาจนถึงเขตหวงห้ามที่ว่ากัน แต่ตนนั้นก็เข้าไปอยู่ทุกครั้ง ในป่าลึกมีสัตว์ร้าย อันตรายรอคอยอยู่ แม้แต่ดอกไม้ยังดูน่าประหลาด พึงระวังทุกย่างก้าวที่เหยียบลง ไม่เช่นนั้นมิอาจหวนกลับออกไป

แว่วเสียงพึมพำงึมงำดังไม่ไกล นายพรานหนุ่มหยุดฝีเท้าชะงักไว้ หันศีรษะเอียงใบหูหาต้นตอ ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปไม่ให้รู้ตัว
เงาตะคุ่มยืนอยู่ใกล้พุ่มไม้ มองให้เห็นเห็นแต่ผ้าสีทึบคลุมทั้งตัว ปิดทั้งหัวทั้งใบหน้าจนมิดชิด ย่อตัวลงเอื้อมมือซีดเด็ดใบยอดที่ยื่นมา เก็บดอกไม้ลงใส่ในตะกร้า ขยับปากขมุบขมิบไม่เป็นศัพท์

วิกเตอร์ชะเง้อเพ่งมอง มองเห็นได้เพียงแค่ปลายคางและเสี้ยวหน้าที่พ้นออกมาจากผ้าคลุม เขาเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าค่าตา แต่มั่นใจว่าคงไม่ผิดตัว เพราะจะมีใครอื่นอีกที่กล้าอาศัยอยู่ในกลางป่าลึกแบบนี้กัน

ยังซุ่มดูหลบหลังต้นไม้ เคลื่อนประชิดเข้าใกล้ไม่ให้รู้ แอบก้าวตามทางที่เดินนำไป จนกระทั่งหยุดกึกชะงักงัน เสียงร้องขู่สัตว์ร้ายก็ดังขึ้น นายพรานหนุ่มคว้าพลันที่ลำปืน เตรียมไว้ใช้ลั่นไกป้องกันตัว แต่ทว่าพ่อมดยังยืนนิ่งไม่เตลิดหนี สองมือล้วงลงใต้ผ้าผ้าคลุม หยิบถุงผ้าพอเหมาะมือขึ้นถือ

เสียงพุ่มไม้ขยับกิ่งแหกหัก ฝีเท้าสัตว์ใหญ่พุ่งเข้ามาใกล้ หมีตัวยักษ์แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ พลันทันใดฝ่ามือขาวก็สาดผงใส่พร้อมร่ายมนตร์ หมีตัวใหญ่โซเซก่อนล้มพับ ลงไปหลับสนิทเพียงพริบตา

เบิกตากว้างผิดคาดประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เห็นเวทมนตร์เต็มสองตา ถุงผงยาถูกเก็บกลับเข้าที่เดิม ก่อนเจ้าตัวจะรีบเดินเร่งฝีเท้าก้าวต่อไป

เห็นแบบนั้นก็ชวนให้คาใจ หากร่ายเวทร่ายมนตร์ได้ดั่งใจ แต่ไฉนกลับไม่ใช้เพื่อเอาคืน ทั้งถูกแกล้งถูกขับไล่สารพัด บ้างทำร้ายขว้างปาข้าวของใส่ แต่กลับหนีซุกหลบไม่ตอบโต้



               ลอบตามมาจนมาถึงยังกระท่อม ไม่ใหญ่เกินหรือเล็กไปกำลังเหมาะ จึงคาดว่าคงได้เวลาจะเผยตัว ขณะนั้นอัลวินยืนปลดกลอนที่ประตู ไม่ทันรู้ว่ามีแขกกำลังมา นายพรานหนุ่มจึงเอ่ยทักให้หันมา

ยามประจันหน้าดวงตาก็เบิกโพลง ก่อนแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร ถอยตัวหนีชิดพิงบานประตู

               "นายอีกแล้วหรอ! มาทำอะไร!!" อัลวินตะโกนใส่ด้วยเสียงสั่นๆ สองมือจับกำชับตะกร้าแน่น

               "ฉันก็แค่เดินสำรวจไปเรื่อยเปื่อย บังเอิญมาเจอนายอีกก็เท่านั้น" วิกเตอร์ตอบกลับไปและก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะเชื่อคำโกหกนั้น

               "ก-โกหก ฉันก็หนีมาที่นี่แล้ว ..ตามมาทำไมอีก ตามมาทำไม!!" นึกย้อนถึงตอนที่โดนชาวบ้านขับไล่ ทั้งพังบ้าน พังของ กลั่นแกล้ง จนต้องระเห็จหนีออกมาอยู่ตัวคนเดียว หนึ่งในนั้นที่คอยแกล้งเขาก็คือเจ้าคนตรงหน้า นายพรานที่ทุกคนต่างชื่นชม

               "พูดจาใจร้ายจังเลยนะ" วิกเตอร์ไหวไหล่และก้าวเข้าไปใกล้มาขึ้น นัยน์ตาคู่สีฟ้าจ้องมองเสี้ยวหน้าที่โผล่เพียงปลายจมูกและคางเรียว ยิ่งอีกคนก้มหน้าหลบเงาจากผ้าคลุมก็ยิ่งมืดจนไม่เห็นดวงตาว่าสีอะไร

               "ใจร้าย ใจร้ายหรอ.. ที่นายกับชาวบ้านทำกับฉัน ทำเหมือนฉันเป็นตัวประหลาด แบบนั้นสิถึงจะใจร้าย! วีรบุรุษเรอะ หึ ก็แค่คนหยิ่งยโส! โอหัง! ชอบดูแคลนคนอื่น! น่ารังเกียจ จิตใจอัปลักษณ์ จะตามมาพังบ้านฉันอีกหนถึงจะสาแก่ใจใช่มั้ยล่ะ!" จนสุดท้ายเมื่อเห็นว่ายังไม่เลิกคุกคาม มือขาวซีดก็หยิบของในตะกร้าขว้างใส่เข้าเต็มหน้าคนรุกราน

วิกเตอร์หยุดนิ่งไป ไม่ใช่เพราะเจ็บใบหน้า แต่เพราะคำพูดอีกคนที่สะกิดความรู้สึกผิดของตนที่มีมานาน

จริงๆ แล้วตนนั้นไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะให้อัลวินต้องออกมาอาศัยอย่างโดดเดี่ยวอยู่แบบนี้ จะบอกว่ามีส่วนผิดที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็คงใช่ ถึงแม้ว่าเขานั้นไม่ได้แสดงความเกลียดชังเหมือนชาวบ้านคนอื่นแต่เพราะความคะนองที่คอยกลั่นแกล้ง รังแกสารพัด จนไม่นึกว่าอีกคนนั้นจะหมดความอดทนแล้วหนีไปจากหมู่บ้าน ในวันนั้นที่กะจะไปป่วนตามเคย เมื่อไปถึงบ้านหลังนั้นโล่งและว่างเปล่า พอลองถามเจ้าเด็กน้อยที่เป็นญาติก็รู้เพียงว่าอัลวินย้ายไปที่อื่นเสียแล้ว

กว่าจะตามหาตัวเจอก็หลายวันคืน อาศัยช่วงเข้าป่าลอบไปยังเขตหวงห้าม สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ไม่ให้รู้ เฝ้าห่างๆ ให้แน่ใจว่าอยู่ที่นี่ แต่บางครั้งดันถูกเจอเสียได้ จะตามไปก็หายวับลับตาไป จนวันนี้ถึงได้เจอที่อาศัย เผลอดีใจแต่ก็นึกขัดกับตัวเอง ไม่ได้ห่วงใยหรืออะไร แค่กลัวจะผิดหากเป็นไรก็เท่านั้น

               "ไปให้พ้น! ไม่อยากเห็น!" อัลวินส่งเสียงตวาดไล่ รีบเปิดประตูหมายจะหนีเข้าไปในบ้าน

               "เดี๋ยวสิ ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย" รีบเอื้อมไปคว้าแขนไว้อย่างลืมตัว แต่ถูกสะบัดทิ้งพลันอย่างทันที

               "ไม่ ฉันไม่คุย!" รีบหลบเข้าไปยังตัวบ้าน ดันประตูจะปิดปังใส่หน้า

แต่พรานหนุ่มรีบยกแขนใช้ยันไว้ กระเสือกกระสนเอาตัวเข้าไปด้วย เสนอหน้าก้าวมายืนอยู่ในบ้าน พร้อมอาสาปิดประตูให้เรียบร้อย
พ่อมดถลึงตามองจ้อง ไม่อยากข้องแวะเกี่ยวคนตรงหน้า หันไปหาของใกล้มือออกมา แล้วหยิบปาใส่เข้าเต็มแรง

               "ออกไป เจ้าคนหน้าด้าน!" อัลวินตะคอกใส่ เอามือเปิดประตูแล้วผลักร่างนายพรานหนุ่มให้ออกไป แต่ด้วยแรงของคนหมกตัวแต่ในห้องคงมิอาจสู้คนที่ใช้ร่างกายเดินป่าล่าสัตว์อยู่ประจำ

เพียงวิกเตอร์ออกแรงกลับเพียงเบาๆ เจ้าบ้านก็โดนดันถอยออกไปห่างโดยง่าย

               "ฉันไมได้มาร้ายเสียหน่อย" ถึงแม้จะถูกวานให้มาจากหัวหน้าหมู่บ้านด้วยประสงค์ร้าย แต่ใจจริงนั้นตนเองก็ไม่เชื่อครึ่งว่าจะใช่ฝีมือของพ่อมด อาจจะเรียกว่าแอบหวังอยู่ลึกๆ เพราะรู้ดีว่าอัลวินไม่ได้โหดร้ายเช่นนั้น

ก็ไม่ได้รับประกันว่ารู้จักมักจี่กันดีนัก คงเป็นสัญชาตญาณที่บ่งบอก หากใช่พ่อมดชั่วร้ายจริง คงใช้มนตร์สาปให้วอดวายทั้งหมู่บ้าน ทั้งโดนแกล้งรังแกไม่เว้นวัน ถูกกระทำรังเกียจเดียดฉันท์ มีก็แค่แต่โวยวาย ก่อนจะหนีหลบเข้าบ้านไป

               "ฉันไม่เชื่อ โกหก! นายจะยอมออกไปเองหรือต้องให้ฉันสาป!" อัลวินเสียงแข็งพูด

ยากจะคาดเดาว่ากล้าจริงหรือ แต่แอบหวั่นหากจะลองเสี่ยง

               "ฮ่ะๆ นายไม่ทำหรอก" นายพรานหยั่งดูให้รู้เชิง ขยับยิ้มแววตาไม่กลัวเกรง

พ่อมดส่งเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจที่ถูกท้า เดินมุ่งตรงไปที่ชั้นไม้วางของ ขวดแก้วเรียงรายอยู่เป็นกอง เอานิ้วชี้ไล่อยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบมา เปิดจุกฝาควันก็พุ่งส่งกลิ่น ตุประหลาดคละคลุ้งตีจมูก ก้าวมาใกล้ยื่นจ่อใส่กลางหน้า ส่งเสียงหัวเราะร่าแล้วขู่เตือน

               "อยากจะมีหน้าอัปลักษณ์เหมือนจิตใจก็ลองดู! ฮึฮึ.. ห่วงมากล่ะสิคนหลงตัวเองแบบนายน่ะ!" กวาดไล่ต้อนคนที่เริ่มหน้าถอดสี

เห็นสีหน้าดูระแวงยิ่งได้ที ยิ่งไปชิดหวังจะไล่ให้ตะเพิด ทำร่ายมนตร์บ่นงึมงำแกว่งในมือ นายพรานหนุ่มจำใจจึงยอมถอย พอก้าวพ้นบานประตูก็ปิดใส่หน้าโดยทันที

แม้จะต้องหลบออกมาก่อน แต่ไม่เชิงว่าจะไม่ได้ความ พอรู้บ้างถึงถิ่นที่พักอาศัย คงจะไม่ย้ายหนีไปได้โดยง่าย เห็นกระท่อมข้างในก็พอดี น่าจะดูสบายดีไม่อึดอัด รู้ข่าวคราวอีกคนบ้างก็โล่งใจ


วันนี้จะยอมกลับไปตั้งหลัก ไว้ค่อยกลับมาใหม่ในวันหน้า พอรู้ทาง รู้ที เตรียมรับมือ



               วิกเตอร์เดินออกมาให้พ้นจากเขตต้องห้ามแล้ววางข้าวของเพื่อเตรียมจะพักค้างคืนในป่า กางปูผ้าผืนหนาสำหรับห่มตัวยามมืดที่อากาศหนาว เป้เสบียงถูกมักไว้แน่นด้วยเชือกยาว แขนกำยำมัดปมที่ปลายแล้วโยนขึ้นไปให้พาดกิ่งไม้ ดึงปลายที่ห้อยลงมาให้ถุงไปแขวนลอยอยู่กลางอากาศป้องกันไม่ให้สัตว์มาขโมยกิน

ทำเลแถวนี้ค่อนข้างจะปลอดภัย แต่ก็ประมาทไม่ได้ นายพรานทำกับดักไว้รอบบริเวณที่นอน หากมีสิ่งใดบุกรุกเข้ามาเขาจะได้รู้ตัวได้ทัน วิกเตอร์เอนลงพิงบนโคนต้นไม้แล้วหลับตาโดยที่ปืนคู่กายไว้ไม่ห่างตัว

เช้าตรู่แสงตะวันไล่ลงมา ปรือลืมตาบิดขี้เกียจสองสามหน ลุกขึ้นมาไปลำธารเพื่อล้างกาย ชำระหน้าสองมือพอสดชื่น ตื่นเต็มตาก็มาเตรียมอาหารเช้า พลางนึกคิดแผนการไปพร้อมกัน


เพียงไม่นานมุมปากก็กระตุก ความเจ้าเล่ห์ไม่ได้มาแค่คำเล่า



               อัลวินขยับปากพึมพำร่ายมนตร์ขณะที่สองมือโปรยผงประกายระยับอย่างล้อมไว้รอบบ้าน เขาเพิ่งจะเตรียมเสร็จหลังมื้อเช้าจากของที่ไปหามาจากในป่า เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขับไล่สิ่งชั่วร้ายไม่ให้ย่างกรายเข้าใกล้ ในทีแรกนั้นหมายว่าจะให้ปกป้องตัวพ้นให้จากปิศาจที่ตนได้เห็นในนิมิตหมาย แต่ตอนนี้คงจะไว้กันเจ้าคนเย่อหยิ่งตัวอันตรายที่มาบุกรุกความสงบเมื่อวานนี้

ระหว่างทำพิธีอยู่ เจ้าตัวอันตรายที่ว่าก็มาซุ่มมองอยู่แถวนั้นด้วย นายพรานผมทองมองอย่างฉงนกับท่าทางประหลาดของพ่อมดชุดผ้าคลุม นึกสงสัยว่ากำลังเล่นอะไรจึงตัดสินใจแอบอยู่สักพักเพื่อสังเกตการณ์

               "เจ้างี่เง่า.. หลงตัวเอง น่ารำคาญ ออกไปให้พ้นอย่าได้เข้ามาอีก" อัลวินส่งเสียงบ่นกร่นด่าขณะเดินวนรอบกระท่อมยามนึกถึงเจ้าคนเย่อหยิ่งนั่น

มั่นใจแน่ๆ ว่าซ่อนอยู่ตรงนี้ไม่มีทางถูกจับได้ จะบังเอิญจังหวะอะไรขนาดนี้ที่มาได้ยินอีกคนกำลังกล่าวถึง

               "สิ่งชั่วร้ายจงออกไป!" ลั่นวาจาเต็มน้ำเสียงฝ่ามือกวักผงเวทขว้างลงที่ประตูหน้าบ้านจนฟุ้งกระจายทั่ว

นี่ตนถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่สิ่งชั่วร้ายที่ต้องทำพิธีปัดเป่าเสียแล้วหรือ

นิ้วมือขาววาดขีดเขียนอะไรสักอย่างลงบนหน้าประตูไม้ คล้ายลงยันต์ปกปักรักษา เสร็จสิ้นคำคาถาก็กลับเข้าไปข้างในกระท่อมเล็ก
นายพรานหนุ่มนิ่งรอให้แน่ใจจึงค่อย ๆ ก้าวสองขาเดินสาวเข้าไปใกล้ ชะเง้อมองดูหน้าต่างบานจ้อยก็ปิดม่านไว้ไม่ให้แสงเล็ดรอด คนนอกไม่เห็น คนในก็ไม่ เว้นจังหวะสักพักใหญ่ แกล้งยีผมให้หัวกระเซิง เปิดกระบอกน้ำพรมลงบนใบหน้าให้คล้ายเหงื่อ ง้างปืนผาเล็งใส่ที่ต้นไม้ พลางลั่นไกให้เสียงสะเทือน

               "ช่วยด้วย!! ปิศาจมันกำลังมา!" แสร้งส่งเสียงตะโกนร้องให้คนช่วย สองมือทุบบานประตูดัง เท้าถีบระรัวเล่นให้สมจริง

โหวกเหวกโวยวายจนถึงหูคนในบ้าน อัลวินสะดุ้งพลันกับเสียงปืน ไหนจะเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แม้จะคุ้นอยู่แต่ตนก็ไม่ได้จิตใจดำ รีบลุกคว้าขวดยารุดตรงไป

               "เกิดอะไรขึ้น!?" ส่งเสียงถามให้แน่ใจว่ายังอยู่

               "ให้ฉันเข้าไปที! มันมาแล้ว!!-..." สิ้นประโยคก็ส่งเสียงร้องเหมือนเจ็บปวด ทุบประตูคล้ายคนทุรนทุราย

พ่อมดสวมผ้าคลุมขึ้นปิดหน้า นิ้วดันเปิดฝาขวดยาสีประหลาด ก่อนแง้มประตูเปิดไปข้างนอกชิงขว้างขวดออกไปเป็นควันโขมง พลันนายพรานรีบวิ่งเข้าประตู ดันหลังปิดไว้สนิทไม่ให้มอง

               "เป็นอะไรหรือเปล่า?" น้ำเสียงแฝงความร้อนรน ใช้สายตาใต้เงาคลุมส่องสำรวจ เห็นใบหน้าช่างดูเปื้อนปอน

นายพรานทำทีเป็นหอบ กุมหัวก้มหน้าแต่ลอบยิ้ม เนียนเดินเข้าไปลึกในตัวบ้าน ทิ้งตัวลงนั่งเสียบนเตียง

               "ไม่ ไม่น่าเป็นไปได้ ..ปิศาจจะมาได้ยังไง ฉันไม่เห็นภาพสักหน่อย.." พ่อมดส่งเสียงบ่นงึมงำส่ายศีรษะ

อัลวินเดินดุ่มไปหน้าต่างแหวกผ้าม่านเพื่อตรวจดูว่าปลอดภัย แต่ข้างนอกโล่งไร้อะไร ขมวดคิ้วงงอยู่สักใหญ่ ก่อนหันมาเห็นเจ้าคนเอนนอนสบาย

               "นี่นายหลอกฉันหรอ!!" เมื่อรู้ตัวก็รีบเดินตรงมา ยืนชี้หน้าผู้ร้ายจอมโกหก

คนผมทองทำหน้าไขสือ ยกแขนรองใต้หัวไม่ขยับ

               "ลุกออกไปเจ้าคนโกหก!! ออกไป!" คว้าผ้าปูกระชากดึงให้ตัวหล่น แต่เรี่ยวแรงอะไรจะไปสู้ ได้แค่กระตุกไปเหมือนเล่นผ้า

               "ฉันแค่อยากจะเข้ามาคุยด้วยดี ๆ แต่นายไม่ยอมเองนี่นา" เจ้าตัวขยับลุกขึ้นนั่ง เงยขึ้นจ้องผ้าคลุมสีทึบ ถึงไม่เห็นแต่ก็เดาได้ว่าคงจะโกรธ

               "ฉันไม่คุย! เจ้าหน้าด้าน! หลอกลวง!" คว้าหมอนใกล้มือมาฟาดใส่ที่หน้า แล้ววิ่งไปหนังสือที่บนชั้น หยิบเล่มหนาสีปกเขรอะขึ้นมาเปิด

               "ถ้าไม่ไปฉันจะสาปนาย!" กรีดไล่หน้ากล่าวขู่ด้วยมุกเดิม

นายพรานลุกด้วยความไวเข้าประชิด รีบฉกของในมือขึ้นมาถือ พลางเปิดดูข้างในมีอะไร

               "ภาษาอะไรน่ะ" ชิ่งเดินห่างมาลองอ่านในตัวเล่ม กระดาษเลอะด้วยหมึกแถมยังเก่า ถูกขีดเขียนด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร
ไม่คุ้นแต่ก็พออ่านได้บ้างคล้ายภาษาที่ใช้กัน วิกเตอร์เปิดไปเรื่อยพร้อมเดินวนหนีเจ้าของที่เดินตามมาทวง ดู ๆ แล้วเหมือนจะไม่เกี่ยวกับมนตร์ดำ มีทั้งภาพสมุนไพรของป่า น่าจะเป็นพวกสูตรปรุงยาเสียมากกว่า

               "เจ้าหัวขโมย! ฉันทำพิธีปัดเป่าไปแล้วทำไมถึงยังมาก่อกวนได้อีก!" เหนื่อยเกินจะวิ่งไล่ จึงหยุดยืนนิ่ง ๆ บ่นใส่แทน

               "ฉันไม่ใช่ปิศาจซะหน่อย.. ใจร้ายเกินไปแล้ว" กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

ฝ่ามือซีดตบโต๊ะที่คั่นกลางเสียงดังจนนายพรานเองยังเผลอสะดุ้ง

               "พวกนายน่ะเลวร้ายกว่าปิศาจเสียอีก!! จิตใจคับแคบ!" อัลวินตะคอกใส่อย่างเหลืออด มือทั้งสองสั่นเทาจิกเล็บลงบนเนื้อไม้

วิกเตอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง วางหนังสือลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจยาว เขาเองก็ลืมตัวมัวแต่แกล้งอีกกคนตามความเคยชิน ทั้งที่ก็รับรู้แล้วแท้ ๆ ว่าไม่ชอบ

               "ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนายจริง ๆ นะ" นายพรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความจริงจัง

พ่อมดรีบหยิบหนังสือไปกอดไว้ที่อกเหมือนหวงของ เบนหน้าหลบแสดงความไม่พอใจ

               "ถ้าเสร็จธุระแล้วจะเลิกวุ่นวายกับฉันใช่มั้ย" อัลวินเอ่ยถามกลับ

               "..ใช่ ถ้านายยอมตอบมาตามความจริง" วิกเตอร์ตอบรับคำ เดินเข้าไปหาแต่ก็ยังเว้นระยะไว้ไม่ให้อีกคนนั้นระแวง

               "ได้! ถามมาสิ" เพราะต้องการจะรีบไล่ให้ออกไปเร็ว ๆ จึงยอม

นายพรานเงยมองเสี้ยวใบหน้าที่เผยออกมาใต้เงาผ้าคลุม แม้ใจจริงจะรู้ว่าคงไม่ใช่ แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจที่จะนำคำตอบกลับไปให้ชาวบ้านก็ต้องถาม

               "นายรู้จักปิศาจหมาป่าหรือเปล่า?"

อัลวินเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะตอบ

               "หมอนั่นไม่ใช่ปิศาจ" เป็นคำตอบที่ไม่ได้ตอบมาตรง ๆ

นายพรานหนุ่มเลิกคิ้ว

               "แต่เจ้านั่นเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน จะไม่เรียกว่าปิศาจได้ยังไง" น้ำเสียงเริ่มจะใส่อารมณ์ยามนึกถึงชีวิตชาวบ้านที่ถูกพรากไป

               "คนในหมู่บ้านนั้นต่างหากที่สมควรถูกเรียกว่าปิศาจ! พวกนายไม่มีทางเข้าใจคนที่โดนกีดกัน โดนรังเกียจจนต้องหนีมาอยู่ที่นี่หรอก!!" อัลวินเริ่มจะขึ้นเสียงตามเงยจ้องจนแสงหลอดไฟกระทบให้พอเห็นดวงตาสีอเมทิสต์ที่กำลังโกรธเกรี้ยว

ปิศาจที่น่ากลัวไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ หากแต่เป็นจากจิตใจที่เบื้องลึก ก่อเกิดเป็นสิ่งอันตราย รวมมาไว้สิงสู่อยู่ในป่า

เขานิ่งไปอีกครั้งพยายามไม่โต้ตอบด้วยอารมณ์ตามอีกคน

               "ก็เลยเกลียดจนต้องล้างแค้นหรอ" นายพรานถามต่อด้วยเสียงราบเรียบ

               "คิดว่าไม่อยากทำรึไง! ฉันเกลียดนาย เกลียดทุกคนที่รังแกฉัน ที่ขับไล่ฉัน แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ให้ทำ เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คงน่ารังเกียจไม่ต่างจากพวกนาย!" เสียงตะคอกสั่นเครือกัดฟันกรอด ไม่รอให้โดนถามคำถามต่อก็รีบเอ่ยดักขึ้นมาก่อน

               "ตามสัญญาฉันตอบนายแล้ว! ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว!!" เอื้อมมือผลักไหล่ผู้ที่ไม่อยากให้เยือนดันให้เดินถอยไปทางประตู

               "เดี่ยวสิ ฉันยังถามไม่จบเลยนะ" วิกเตอร์ขืนตัวไว้ไม่ให้โดนดันไปที่ประตู คว้าแขนอีกคนมารีบล็อคตัวเอาไว้

พ่อมดรีบโวยวายดิ้นพล่านทันทีเพราะไม่คุ้ยชินกับการถูกคนอื่นสัมผัสตัว ตีศอกกระทุ้งใส่ที่สีข้าง ร้องโวยวายให้ปล่อยตัว

               "ปล่อย!! คนหน้าด้าน! ไม่รักษาสัญญา! ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้วออกไปให้พ้น!!" ยกมือตะกุยเข้าที่ใบหน้าผิวแทนนั่น ท่าจะห่วงนักหนากับรูปลักษณ์หน้าตา

นายพรานหนุ่มรีบผละออกทำให้พ่อมดล้มตัวไปข้างหลัง เอื้อมมือรีบคว้าชายผ้าคลุมไว้ให้ทันก่อนที่สวมปิดหน้าจะโดนดึงจนเปิดออก
เส้นผมสีน้ำเงินสะท้อนเป็นเงาจากแสงไฟ ใบหน้าซีดขาวที่ไม่ออกแดดเผยให้เห็นเต็มตา ตะลึงงันกับตรงหน้า ใบหน้ารูปสวยอย่างไม่นึก ริมฝีปากเม้มลงวาดอย่างพอดี คู่อเมทิสต์สีงามจ้องกลับมาแต้มด้วยไฝเสน่ห์ที่ข้างใต้ ขอบตาล่างแอบคล้ำเพราะไม่ค่อยดูแลตัว แต่ก็ไม่ทำให้ความน่ามองนั้นลดลง

ไม่ใช่มนตร์แต่ราวกับต้องมนตร์ ยืนนิ่งคล้ายถูกสาปให้เป็นหิน ลืมแม้แต่กะพริบตา กว่าสติจะมาโดนผลักจนออกพ้นบานประตูไป

รู้จักมาตั้งนานนับปีเพิ่งได้เห็นแบบชัด ๆ มักคอยแกล้งคอยแหย่ไม่ได้สน แค่เข้าใกล้ยังยากเหมือนกับแมว นึกเสมอว่าเป็นคนพิลึก จินตนาการใบหน้ายังไม่ออก ยังว่าแปลกว่าทำไมถึงเกี่ยวดอง เป็นญาติของเจ้าเด็กน้อยแสนน่ารัก หายแคลงใจที่ติดค้างก็วันนี้

เมื่อรู้สึกตัวว่าได้โดนไล่ออกมาข้างนอกแล้วนายพรานหนุ่มจึงรีบเคาะประตูเรียก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใด ๆ นานสองนานก็ดูไม่มีหวัง เลยคิดว่าควรจะพอแค่นี้ก่อน แค่รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของอัลวินก็คงพอ

อย่างน้อยก็ได้ทำหน้าที่ได้เสร็จ เรื่องอื่นที่ยังสงสัยไว้ค่อยถามทีหลังก็แล้วกัน

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญกว่า แล้วอะไรที่โจมตีหมู่บ้านกัน?

นัยน์ตาสีฟ้ามองมุ่งไปยังในแนวป่าลึกแสนวังเวง สะพานปืนไว้ข้างกายสำหรับพร้อมใช้ แบกย่ามเป้เตรียมตัวเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน หากเริ่มเดินตั้งแต่ตอนนี้คงถึงก่อนที่ตะวันจะตกดิน


นายพรานหนุ่มย่างเท้าเดินก้าวห่างออกไปจากกระท่อม โดยที่เผอิญย่ำติดผงฝุ่นของวงเวทย์ที่พ่อมดร่ายไว้คุ้มกันติดตัวไปด้วย



               ห้าวันที่เต็มไปด้วยความสงบไร้สิ่งมารังควาน อัลวินสวมผ้าคลุมตามปกติเดินร่อนหาของในป่าเพื่อนำมาใช้ปรุงยาและทำอาหาร ดวงตาคู่อเมทิสต์สะดุดกับดอกไม้สีแดงชาด ปกติไม่ยักเจอขึ้นแถวนี้ จะต้องเข้าลึกไปไกลกว่าจะเก็บได้ แต่ไหน ๆ แล้วก็ขอเก็บกลับไว้เพราะใช้การได้หลายอย่าง สีบนกลีบชวนให้หวนคิดถึงเจ้าเด็กน้อยอ่อนต่อโลกถูกเร้าด้วยความอยากรู้ได้โดยง่าย ส่วนอีกคนป่วยกระเสาะกระแสะใช้ชีวิตได้ลำบาก อาศัยแบบนั้นกันสองคนมานานแล้ว จะมีบ้างที่ไหว้วานให้นำของมาส่ง และตนนั้นก็ปรุงยากลับไปให้

ดอกไม้นั้นขึ้นเรียงเป็นทางยาวอย่างชวนน่าประหลาด ฝีเท้าชะงักงันยามที่เห็นสีแดงสดหยดเคลือบกลีบ ยังไม่แห้งสนิทดีเสียด้วย เริ่มระแวดระวังตัวมองซ้ายขวา ค่อยย่องไปตามทางเรื่อย ๆ จนหยุดแล้วเบิกตากว้างกับภาพตรงหน้า

               "..อัลวิน? จริง ๆ หรอ" เสียงแห้วแทบจะขาดหายเอ่ยจากริมฝีปากที่เริ่มซีดเพราะสูญเสียเลือดจำนวนมาก นัยน์ตาสีฟ้าปรือมองมาแทบจะปิดอยู่แล้ว

ร่างสูงนั่งพิงอยู่ที่โคนต้นไม้ รอยแผลที่ท้องขนาดใหญ่โชกด้วยสีเลือดจนมองไม่เห็นสีเดิมของเสื้อผ้า รอยแผลปรากฏตามใบหน้าที่อิดโรยและแขนขา เสื้อขาดวิ่นเป็นรอยกรงเล็บคม สภาพนี้เพียงจะลุกเองคงไม่ไหว หากปล่อยไว้ก็คงไม่มีทางจะรอด แต่คนอวดดียังพยายามยกยิ้ม

               "วิกเตอร์!!" พ่อมดรีบวิ่งเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงมองคนบาดเจ็บแผลฉกรรจ์ เลือดที่แผลยังไม่หยุดไหล

               "ฉันในสภาพนี้...น่าสมเพชล่ะสิ ฮะฮะ.." ยังคงหัวเราะแห้งทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรอยู่ได้

อยากจะซ้ำเติมอยู่หรอกแต่คงไม่ใช่ในตอนนี้ อัลวินรีบแกะเชือกผ้าคลุมชุดยาวที่ผูกไว้ตรงคอด้านหน้าออกแล้วถอดมาขยำใช้ซับกดแผลไว้

               "นายจะเข้ามาทำไมที่นี่นักหนากัน ก็รู้ว่าอันตรายแท้ ๆ แทนที่จะรีบกลับไปที่หมู่บ้านซะ!" อีกมือคว้าหาขวดยาที่พกติดไว้ยามฉุกเฉิน เทราดลงบนแผลสดนั่น

นายพรานส่งเสียงร้องเบา ๆ ด้วยความแสบก่อนจะเงยศีรษะผมทองยุ่งเหยิงขึ้นจ้อง ยกมือมากุมไว้ที่ข้าง ๆ แผลบนหน้าท้อง

               "ไม่รู้สิ..ตอนที่ฉันเจอปิศาจทำร้ายแล้วหนีมาได้ทัน แต่แผลขนาดนี้ยังไงก็คงรอจนกลับออกไปไม่ไหว..ขาฉันก็พาเดินไปทางกระท่อมนาย..แทน" หายใจยังแทบจะขาดตอน ยังพูดประโยคต่อล้อต่อเถียงแก้ตัวยาวอีก

               "เจ้าหน้าโง่! หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ ๆ คิดว่ามาหาฉันแล้วฉันจะช่วยรึไง" บ่นใส่เสร็จก็พึมพำร่ายมนตร์เพื่อช่วยบรรเทาแผล แต่ถึงยังไงก็คงไม่วิเศษถึงขั้นจะทำให้หายขาด

               "ฉันรู้..นายไม่ใจร้ายหรอก...-" ปลายประโยคเริ่มจะแผ่วลงจนเงียบไป ก่อนดวงตาจะปิดลงสนิท

พ่อมดหนุ่มที่ไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญพูดต่อจึงเงยขึ้นมาแล้วตกใจ สองมือสั่นอย่างประหม่าแตะตัวที่ชื้นเหงื่อและเย็น

               "วิกเตอร์! นี่!" พอเห็นว่าอีกคนนั้นหมดสติไปแล้วจึงเขย่าพลางเรียกให้ตื่นกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล ร่างตรงหน้าไร้การตอบสนอง ลมหายใจเริ่มจะแผ่วบางลงทุกที

พ่อมดกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูก ตนเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ จะพากลับไปหมู่บ้านก็คงไม่ทันการณ์ ลังเลอยู่สักพักก่อนตัดสินใจที่จะพากลับไปรักษาที่บ้านของตนก่อน สองแขนที่เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยจะมีเท่าที่ควร หนำซ้ำยังไม่คุ้นชินกับการสัมผัสถูกตัวคนอื่น อัลวินพยายามพยุงร่างคนบาดเจ็บอย่างทุลักทุเลให้ลุกขึ้นก่อนจะจับแขนแกร่งมาพาดไว้บนบ่าตน สองขาก้าวได้อย่างไม่ค่อยจะมั่นคงแทบจะล้มทรุดลงไปได้ทุกก้าว

               "ไม่ ไม่ตายหรอก นายไม่ตาย..เพราะฉันไม่เห็น" เหลือบตามองเลือดที่ยังไหลตามไปเป็นทาง แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะกล้าทิ้ง การมาพบคงจะเป็นดั่งชะตากำหนดไว้

เดินไปได้ไม่ไกลก็ไถลจนตนเองล้มลงแต่ก็ต้องระวังเบี่ยงหลบไม่ให้เพราะไปโดนแผลจนตัวเองนั่นแหละที่เป็นแผลถลอกเต็มไปหมด เนื้อตัวเสื้อคลุกฝุ่นคลุกดินกลิ่นหญ้าติด ปากบ่นอุบอิบใส่ร่างที่ไม่มีสติ


ขนาดตอนนี้ยังสร้างความเดือดร้อนให้ตนได้อีก เป็นตัวที่คอยรังควานเขาไม่เลิกเสียจริง


               เหวี่ยงร่างหนักนั่นลงให้ไปนอนบนเบาะเตียง เลือดที่แผลยังคงซึมไหลไม่หยุดดี อัลวินปัดฝุ่นที่เปรอะตัวเองออก เดินตรงรี่ไปยังมุมที่วางเครื่องยาทำแผล รอยเสื้อขาดแหว่งรูใหญ่ แผลเองก็ไม่ต่างยังดีที่น่าจะไม่ลึกมากจนถูกอวัยวะสำคัญภายใน ซับน้ำตาลงกับสำลีแล้วเช็ดแผล ก่อนจะนำเครื่องยาที่ปรุงขึ้นมาใส่พรมลงไป คว้าหนังสือบันทึกคาถาขึ้นมาสวด วางแปะผ้าเขียนอักษรลงแนบสนิท เพียงสักพักเลือดก็ยอมหยุด

พ่อมดถอนหายใจหอบหนักหลังจากใช้เรี่ยวแรงเกินกำลัง แผลตามตัวอีกคนก็เต็มไปหมด แต่บนร่างตนเองก็ใช่ย่อย ถลอกปอกเปิกไปหมด ใบหน้าสวยบึ้งลงอย่างเคือง ๆ นึกโมโหตนเองที่หาเรื่อง แต่จะปล่อยให้นอนตายก็คงทำไม่ได้ ส่ายศีรษะหน่าย ๆ แล้วลุกไปทำแผลตนเองเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาดูอาการอีกคนทีหลัง



               รุ่งเช้าถัดมานายพรานยังคงนอนไม่ได้สติ แม้แผลจะได้รับการบรรเทาแล้ว แต่หายขยับตัวหรือถูกเพียงเบา ๆ ก็อาจจะเปิดอีกก็ได้ เสื้อผ้าที่มีแต่รอยขาดกับเลือดเปื้อนถูกถอดออก ทั้งร่างท่อนบนมีแต่ผ้าพันแผลและรอยยาพอกไว้ กว่าจะล้างแผลและใส่ยาได้แต่ละหนก็ลำบาก หากฟื้นได้เมื่อไหร่คงจะรีบไล่ให้กลับไปโดยเร็ว

หลังจากทำแผลให้ใหม่เสร็จแล้วอัลวินก็ลุกจากเตียงไปเตรียมมื้อเช้าต่อ ไม่ค่อยจะคุ้นชินเสียเท่าไหร่ที่มีคนมาพัก แถมที่นอนก็มีที่เตียวซึ่งโดนยึดไปแล้ว เป็นเจ้าของบ้านเองแท้ ๆ กลับต้องมาปูเสื้อนอนขดบนพื้น แถมแขกยังเป็นคนที่ไม่อยากจะต้อนรับเอาเสียเลย
เก็บกวาดบ้านล้างของจานชาม เหลือบตามองร่างที่หลับสนิทมาเต็มวัน ก็ยังนึกสงสัยว่าอะไรทำให้หมอนี่ตั้งใจจะมาหาเขาอีกทั้งที่บาดเจ็บ หากเขาไม่ไปเจอแล้วตายขึ้นมากลางทางจะสมน้ำหน้าให้

               "จริงสิ ใช้ไปหมดเลยนี่นะ เปลืองชะมัด" พ่อมดบ่นพึมพำขณะนึกถึงขวดยาที่ใช้รักษาแผล คาดว่าจะต้องเตรียมของมาปรุงเก็บเอาไว้ใหม่เสียแล้ว

ในหนึ่งวันนอกจากทำอาหาร ออกไปเก็บวัตถุดิบ ทำความสะอาด ตนนั้นก็ไมได้ทำอะไรอย่างอื่น จะบอกว่าเป็นชีวิตที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยก็คงใช่ เพราะไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วให้ทำที่กลางป่าลึกเช่นนี้ ตนนั้นคุ้นชินกับการอาศัยอย่างโดดเดี่ยวมาแต่ไหนแต่ไร แม้กระทั่งสมัยที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน เพราะผิดแปลกจนคนไม่อยากยุ่ง สนใจในเวทมนตร์จนถูกมองเป็นตัวประหลาด ขนาดผู้มีสายเลือดใกล้ชิดก็ยังไม่สนิท


พ่อมดน่ารังเกียจก็สมควรจะอยู่อย่างเดียวดายเช่นนี้

อัลวินเค้นยิ้มอย่างนึกเวทนาในชะตาตนเอง



               เปลือกตาหนักในที่สุดก็ปรือขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าจ้องบนเพดานกวาดรอบมองก็พบว่าคลับคล้ายคลับคาแต่ไม่คุ้นชินว่าคือที่พักตน ขยับกายหวังจะลุก แต่ก็ดันกระเทือนบาดแผลจนนิ่วหน้า ความเจ็บที่แล่นมาก็พลันให้คิดออกว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรบ้าง

ทบทวนย้อนความว่าตนเองเผชิญกับปิศาจขณะเข้ามาในป่าลึก ดันพลาดท่าถูกกรงเล็บตะปบเข้าเต็มแรงจนกระเด็น แม้จะเสียหลักแต่ก็ยังคว้าปืนยิงสวนไปได้ทันแล้วรีบหลบให้พ้นออกมา สติเริ่มจะเลือนเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว จะย้อนกลับไปยังหมู่บ้านก็ได้ แต่สัญชาตญาณภายในดันพาไปยังอีกทิศ ยิ่งลึกเข้าไปด้านในหวังจะไปให้ถึง จะหาเหตุผลอะไรก็ไม่มี รู้แค่จำเป็นว่าจะต้องไปหาให้ได้เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีก

ฝ่ามือลูบลงบนกล้ามท้องที่ถูกพันไว้ด้วยผ้า พอจะนึกออกว่าใครเป็นคนทำให้ กลิ่นสมุนไพรคลุ้งอยู่ทั่วไม่ใช่จากที่พอกบนแผลแต่โชยมาจากอีกฝั่ง วิกเตอร์หันไปมองก็เห็นร่างเจ้าบ้านยืนใช้ไม้ยาวกวนหม้อขนาดใหญ่อยู่ คาดว่าคงกำลังปรุงยา

อัลวินไม่ได้สวมผ้าคลุมตอนที่อยู่ในบ้าน โครงหน้าสวยเปิดโล่งให้เห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง เส้นผมสีน้ำเงินเคลียอยู่ที่ข้างแก้ม มองดูไกล ๆ ก็รู้ว่าผิวช่างซีดเสียเหลือเกิน ร่างกายก็ดูสมส่วนพอมีกล้ามเนื้อบ้างแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าตนอยู่แม้ส่วนสูงจะไล่เลี่ยกัน เหมือนว่าจะแอบมองนานเกินไปจนทำให้รู้ตัว

ใบหน้าขาวหันขวับกลับมาจ้องก่อนจะมุ่นคิ้วหรี่ตา

               "ฟื้นแล้วนี่ รีบกลับไปได้แล้ว" ประโยคแรกก็ไล่ทันที

               "แผลฉันยังไม่หายเลยนะ แค่จะลุกยังไม่ได้เลย" วิกเตอร์อ้างแล้วทำท่าจะลุกตัวขึ้นนั่งให้ดู แต่ก็เสียดที่แผลจนเผลอส่งเสียงในลำคอสีหน้าเหยเก

               "นี่! เดี๋ยวแผลก็เปิดหรอก! เจ้างี่เง่า" อลวินรีบวางไม้แล้วตรงเข้าไปดุ ก้มมองดูแผลว่าไม่ได้มีรอยซึมออกมาอีก

               "ฉันแค่จะแสดงให้นายดูนี่ไง.. ว่าไม่ไหวหรอก ขืนออกไปตอนนี้คงไม่มีทางรอดแน่ ๆ" ติดเถียงแต่ไม่ได้มีความยียวนในน้ำเสียงเท่าเดิม

พ่อมดมุ่ยหน้าถอนหายใจ เดินกลับไปปรุงยาต่อพลางพึมพำ

               "ในหมู่บ้านน่าจะมีหมอรักษาดีกว่าแท้ ๆ ดื้อด้าน"

วิกเตอร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเอนลงนอนตามเดิม

               "ให้ฉันพักที่นี่จนหายดีเถอะนะ" ชายผมทองพูดเอ่ยขอ

               "อยากหายเร็วก็กลับไปที่หมู่บ้านซะสิ อยู่ที่นี่เป็นภาระฉันเปล่า ๆ" อัลวินเผลอออกแรงกวนไม้แรงขึ้นอย่างลืมตัว

               "นี่มีอะไรให้กินบ้างหรอ ฉันหิวมากเลยล่ะ นี่ฉันหลับไปกี่วันนะ?" วิกเตอร์แกล้งเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีเพื่อตัดบท
พ่อมดส่งเสียงฮึดฮัดพ่นลมออกทางจมูก มุ่ยหน้ากวนยาจนเป็นเสียงดังกระทบขอบหม้อ

               "ฉันทำเฉพาะส่วนของฉัน! ไม่มีเผื่อหรอกนะ!" ริมฝีปากยิ่งบึ้งลงอีก

               "แบบนั้นฉันจะยิ่งหายช้านะ แล้วก็ต้องพักนานขึ้นด้วย" นายพรานเจ้าเล่ห์พยายามหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา
แต่อีกคนไม่ตอบ ทำไม่สนใจแล้วกวนหม้อยาต่อไป วิกเตอร์หันศีรษะกลับมาจ้องเพดาน ขนาดนอนนิ่งยังตึงที่แผลขนาดนี้ รอยคงจะใหญ่และสาหัสน่าดู จะว่าไปแล้วจุดที่เขาอยู่ก็ห่างจากกระท่อมของอัลวินอยู่มาก นี่เจ้าตัวยอมแบกร่างเขามาจนถึงที่นี่ตัวคนเดียวได้ด้วย คงจะลำบากน่าดู

ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายจริง ๆ นี่นะ พอได้รับรู้เช่นนี้แล้วความรู้สึกผิดก็ไล่เข้ามาจุกในอกจนอัดอั้น ก็สมกับที่ถูกบอกว่าตนเองต่างหากที่สมควรโดนเรียกเป็นปิศาจ ริมฝีปากยิ้มเจื่อน

               "กินซะ!" ว่าห้วน ๆ พร้อมทั้งยื่นชามใส่ของเหลวสีประหลาดให้คนเจ็บ

วิกเตอร์เลิกคิ้วพยายามเงยหน้าขึ้นมามอง สองมือรับชามไว้อย่างมั่งคงไม่ให้หก เห็นแล้วก็สงสัยว่าคืออะไรกัน

               "สมุนไพรต้ม" คนปรุงตอบกลับมาแค่นั้นแล้วยืนจ้องรอ

               "มันกินได้จริง ๆ หรอ..." ดวงตาสีฟ้าจ้องสภาพของเหลวสีกลิ่นแปลกพลางทำหน้าเหมือนไม่กล้ากิน

               "เรื่องมาก! ถ้าแบบนั้นก็อย่ากิน" ทำท่าจะคว้าแย่งคืน แต่คนถือก็ไม่ยอมแล้วยกหลบ

วิกเตอร์สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะกลั้นใจซดของในชามแล้วกลืนลงคอไป ยามรับถึงรสและกลิ่นที่คลุ้งในคอก็แสดงออกทันทีบนสีหน้า คิดว่าเวลาที่หยิบพืชของป่ามาทำอาหารประทังชีวิตก็มีทั้งรสชาติพอทนกับแย่แล้ว แต่นี่ดันแย่เสียยิ่งกว่า คงไม่ได้ตั้งใจจะวางยากันหรอกนะ

ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะฝืนจิบจนกระทั่งหมดชาม

               "หึ คงจะต้องทนกินจนกว่าจะก้นหม้อนั่นแหละถึงหาย" อัลวินกล่าวแล้วรับชามเปล่ามาก่อนจะเดินไปล้างเก็บบนชั้นตามเดิม

ผ่านไปพักหนึ่งอาการปวดตึงแผลก็เริ่มจะเบาลง วิกเตอร์รู้สึกสบายตัวขึ้นบ้างพอเริ่มผ่อนคลายก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาได้แค่ครู่เดียวเท่านั้น

ถึงจะบ่นว่าภาระ แต่ก็ทั้งพามา ทำแผล ปรุงยาให้ เป็นพวกปากหนักกว่าที่คิดไว้เสียนี่

วิกเตอร์ขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะปิดตาลงแล้วหลับไปอีกครั้ง



               สี่วันผ่านมาแล้ว แผลที่ลำตัวก็เริ่มจะสมานเข้ากัน วิกเตอร์สามารถยันกายลุกขึ้นนั่งได้เองแล้ว จะมีอาการตึงอยู่บ้างทำให้ขยับตัวได้ไม่คล่องเท่าที่เคย สายตาเหล่มองถาดใส่อุปกรณ์ทำแผลที่มือขาวกำลังถือมาวางไว้บนเตียงข้าง ๆ ตำแหน่งที่ตนนั่ง อัลวินบึ้งหน้าใส่เขาเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ฝ่ามือซีดแกะผ้าพันแผลเก่าที่พันไว้รอบตัวออกอย่างสั่น ๆ ทั้งระวังไม่ให้โดนแผลและประหม่าที่ต้องสัมผัสถูกตัวคนอื่นซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่ชิน ส่วนตนก็วาดยิ้มกลับไปเหมือนเช่นเคย

ศีรษะก้มลงมาจนคนนั่งมองเห็นขวัญตรงกลางของกลุ่มผมสีน้ำเงิน ขยับไปมาจนอยากจะจิ้มหยอกเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องนิ่วหน้าสะดุ้งตัวเมื่อสำลีชุบยาแปะลงบนแผลดั่งแกล้งกัน

               "ทำไมคราวนี้มือหนักล่ะ..ตั้งใจแกล้งฉันรึไง" นายพรานยังแสบแผลไม่หายแม้ว่าอีกคนจะผละมือออกไปแล้ว

               "นายทำหน้าตากวนฉัน" พ่อมดเงยหน้าขึ้นพูดตอบ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าพันแผลมา

นายพรานรู้งานยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้อีกฝ่ายพันได้สะดวก มือข้างหนึ่งอ้อมไปไว้ด้านหลังคอยรับผ้าที่พันรอบมาจากด้านหน้า หลังจากเสร็จเรียบร้อยถ้วยใส่ยารสแปลกก็ถูกยื่นมาให้ดื่มอีก แม้จะหลายหนแล้วแต่ก็ไม่ยักกะชินกับกลิ่นและรส วิกเตอร์รีบกระดกถ้วยแล้วกลืนลงไปอย่างรวดเร็วโดยหวังว่ามันคงจะไม่ติดที่ลิ้นนาน เขาเหล่มองใบหน้าขาวในระยะใกล้ รอยถลอกเริ่มจางลงแล้วแต่ก็พอเห็น ส่วนเจ้าตัวนั้นมัวแต่สนใจจ้องที่แผลเขาจนไม่ทันรู้ว่าถูกแอบมอง

               "ทำแผลให้ตัวเองบ้างสิ" เขาเอ่ยบอกขณะมองไล่ไปบนรอยบนหน้าและตามมืออีกฝ่ายที่ยื่นมารับถ้วยคืน

คู่อเมทิสต์ช้อนจ้องกลับค้างชะงักอยู่สักพักนามที่สบตรง ๆ กับนัยน์ตาคู่สีฟ้า ใบหน้าร้อนขึ้นมาเมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนจ้องในระยะใกล้เช่นนี้ รีบผละร่างออกห่างมายืนเบนใบหน้าหลบพลัน

               "ยุ่ง" รีบหยิบถ้วยยาและผ้าแล้วเดินหลบไปอีกมุมแทน

               "ว่าแต่วันนี้นายทำอาหารอะไรน่ะ ฉันชอบของวานซืนมากเลยล่ะ ทำอีกได้มั้ย" วิกเตอร์ขยับหมอนวางอิงกับกำแพงแล้วเอนตัวพิงในท่าสบาย มองตามคนที่เดินไปมาหยิบข้าวของในกระท่อมเตรียมกับข้าว

               "ฉันไม่ใช่คนใช้ ถ้าหิวมากล่ะก็ถ้าเหลือฉันจะแบ่งให้กินก็ได้" อัลวินพูดโดนไม่หันกลับมามอง

ก็พูดแบบนี้มาทุกวัน แต่สุดท้ายเขาก็ได้กินจนครบสามมื้อถ้าตื่นไหว สงสัยจะทำเยอะจนเหลือได้ทุกวัน

ขณะยิ้มมองอยู่นั้นในอกก็สั่นวูบอย่างประหลาดจนต้องยกมือขึ้นมากุม คงไม่ใช่จากรอยแผลที่เจ็บลามไปถึง เพราะความรู้สึกมันแตกต่าง แถมยังชอบเป็นเฉพาะเวลาที่นึกถึงอัลวิน ตนคงอยู่ที่นี่นานเกินไปจนเริ่มจะแปลกตามอีกคนไปเสียแล้ว



               ช่างหลับลึกจนแปลกใจคงเพราะยาที่ได้ดื่ม สบายตัวจนผ่อนคลาย กว่าจะตื่นอีกครั้งก็วันถัดมาเสียแล้ว นายพรานขยับตัวลุกขึ้นนั่งก้มลงมองเห็นอีกคนที่หลับปุ๋ยนอนขดอยู่บนพื้น อมยิ้มบ่นเบา ๆ กลัวจะตื่น

               "นอนแบบนั้นตั้งหลายวันแล้วไม่ปวดตัวรึไงนะ"

จ้องคนหลับนานสองจนจนเปลือกตาขยับปรือลืมขึ้นตื่น อเมทิสต์คู่งามยังง่วงงงจ้องกลับมา เห็นดังนั้นจึงแกล้งเสสายตาหลบออกไป

               "ตื่นแล้วหรอ?" เอ่ยทักแทนอรุณสวัสดิ์

คนสะลึมสะลือขยี้ตาบิดขี้เกียจขยับตัวลุก ผมเผ้าสีน้ำเงินยุ่งไม่เป็นทรง

               "แผลนายเป็นยังไงแล้วบ้าง" มีความเป็นห่วงแอบปนในน้ำเสียง

               "น่าจะปิดสนิทดีแล้วล่ะ แต่ก็ยังขยับตัวได้ไม่คล่องเท่าไหร่" วิกเตอร์ตอบเหล่ตาลงมองที่หน้าท้อง

               "ถ้าแบบนั้นก็น่าจะพอกลับไปหมู่บ้านไหวแล้วสินะ" พ่อมดเอ่ยมองตามที่บาดแผล

               "อย่าเพิ่งไล่กันเลยนะ ขอฉันอยู่พักอีกสักคืนเถอะ อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ทำอะไรตอบแทนนายบ้างก่อนจะกลับ" ถึงอย่างไรก็ไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณใคร หากใช้ได้ก็อยากจะรีบคืน

               "ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปหาของ สมุนไพร ปรุงยา ทำความสะอาด ทำอาหาร ทำได้มั้ยล่ะ?" เอ่ยสั่งเป็นชุด แต่ก็ไมได้หวังว่าจะทำให้จริง

               "ทั้งหมดเลยหรอ.." น้ำเสียงพรานหนุ่มเริ่มจะอ่อนลง

               "ใช่ หาไม้มาทำเตียงใหม่ให้ฉันด้วย" ได้ทีสั่งเพิ่มไปอีกอย่าง

               "อะไรกัน..นี่นายรังเกียจจนไม่อยากใช้เตียงที่ฉันนอนเลยหรอ" ทำหน้าหงอยก้มมองที่เตียงนอนที่ตนนั่ง

แค่โดนบอกเท่านี้ยังชะงัก ทั้งที่เทียบไม่ได้เท่ากับอีกคนที่โดนกีดกันมาตลอด

               "ก็เผื่อนายมาบุกรุกอีก ฉันไม่อยากจะนอนพื้น" ตอบแผ่วเบาไม่สบตามอง

คนได้ยินนึกอยู่ว่าหูฝาด อยากจะถามย้ำใหม่อีกสักครั้ง

               "เห..หมายความว่าฉันมาค้างอีกได้หรอ" ดูตื่นเต้นราวกับเด็กตัวโตถูกตามใจ

               "ดื้อด้าน ไม่ฟังแบบนายฉันก็คงจะห้ามยาก ถ้าไม่เข็ดที่เกือบตายเพราะเข้ามาในป่าลึกก็ตามใจ" อัลวินพูดตัดบททำทีจะเดินหนี

นายพรานหัวเราะเบา ๆ ขยับยิ้ม

               "นี่ วันนี้ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผลเลย" ทำเปลี่ยนเรื่องไม่ให้เจ้าบ้านนึกหงุดหงิด

อัลวินไม่ได้ตอบแต่เดินกลับมาพร้อมถืออุปกรณ์ชุดทำแผลตรงมาทางตน นัยน์ตามองตามร่างที่นั่งลงข้างกาย เอื้อมมาแกะผ้าพันผืนเก่าอย่างเบามือ อ้อมวนไปรอบตัวจนคล้ายกำลังโอบ ใบหน้าเลื่อนมาเสียจนชิด เผลอมองจ้องจมูกปลายที่แทบชน สบตาพลันจนสะท้อนเงาราวกระจก สะดุ้งตัวตกใจเผลอถอยหนี

               "จะจ้องอะไรนักหนา! ทำเองก็แล้วกัน" บอกเบี่ยงบ่ายพร้อมเบี่ยงหน้า

               "ฉันยังยกแขนอ้อมไปพันข้างหลังเองไม่ได้นี่นา" วิกเตอร์ไม่ได้โกหก พร้อมยกไม้ยกมือทำให้ดู

อัลวินมุ่ยหน้าถอนหายใจ สุดท้ายก็จำใจต้องทำให้ เขยิบเข้าไปใกล้ใหม่อีกหน บรรจงใส่ยาลงที่แผล แล้วสั่งให้หันหลังมาหาตน คลี่ผ้าตะข่ายออกมาพันวนรอบ ฝ่ามือจับปลายผมสีทองผูกหางม้า ยกขึ้นหลบให้พ้นผ้าที่พัน น่าแปลกใจวันนี้ดูสงบปาก ไม่พูดจาหนวกหูยียวนให้กวนใจ

               "เสร็จแล้ว" เอ่ยบอกยามทำแผลเรียบร้อยดี

อัลวินผละออกตรียมจะลุก แต่ข้อมือก็ถูกคว้าไว้ทันใด ชะงักพลันหันมองพลางเลิกคิ้ว ที่ผ่านมาไม่เคยที่จะทำ

               "เดี๋ยวสิ..อย่าเพิ่ง" น้ำเสียงค่อยช้อนตามองราวกับอ้อน

ยิ่งประหลาดหรือจะเพี้ยนเสียสติ จะชักมือก็โดนรั้งไม่ให้ไป กลับถูกดึงลงมาให้โน้มลง จนสายตาอยู่ในระนาบเดียวกัน

               "ทำไมนายถึงชอบใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตากันนะ" ฉวยโอกาสยกอีกมือม้วนปลายผมที่ปรกหน้า

               "ฉันไม่ชอบแสงจ้า.. มันแสบตา" ความสว่างไม่เหมาะสมกับพ่อมด ทั้งความตรงและความนัย

               "เลยชอบเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จะออกมาทีก็ตอนค่ำมืดน่ะหรอ" ค่อย ๆ เลื่อนจากข้อมือมากุมไว้ที่ฝ่ามือ สอดประสานปลายนิ้วแทรกไว้เข้าด้วยกัน

ดวงตาเหล่จ้องมองตามแต่ไม่ต้าน ริมฝีปากบนหน้าสวยขยับเหยียดเพื่อวาดยิ้ม

               "คงเหมือนปิศาจตามนิทานกับตำนานใช่มั้ย" ยกมุมปากกลั้วหัวเราะส่งเสียง

               "มันก็ชวนให้เข้าใจผิดไปแบบนั้น..แต่จริง ๆ นายไม่ได้ใกล้เคียงกับปิศาจเลยแท้ ๆ กลับกัน..คนที่ตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ใส่ร้าย กลั่นแกล้ง เพียงเพราะแตกต่างต่างหาก..ที่สมควรถูกเรียกว่าปิศาจ" ออกแรงบีบเบา ๆ บนฝ่ามือ ส่งยิ้มเจื่อนกลับไปให้

ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ไม่ได้ตอบ ไม่ได้ค้าน อะไรกันสักคำ

               "ว่าแต่นายไม่ได้สะบัดฉันออกหรือโวยวายเวลาที่ฉันถูกตัวแล้วนี่" วิกเตอร์พูดเอ่ยคำลายความเงียบนั่น ขยับนิ้วเขี่ยหยอกบนหลังมือ

               "ฉันไม่อยากทำร้ายคนเจ็บต่างหาก" อัลวินเริ่มจะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกมา

               "นายเคยคิดอยากกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านอีกหรือเปล่า" เขาพยายามช้อนสายตามองหน้าคนที่ก้มหลบ

อัลวินเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อครุ่นคิดกับคำถามนั่น ใบหน้าเงยขึ้นมองไปทั่วแต่ไม่ยอมสบตากลับ

               "ฉันอยู่แบบนี้รู้สึกปลอดภัยกว่า" คำตอบไมได้ระบุว่าอยากหรือไม่อยาก ก็คงเพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกตามความต้องการ

วิกเตอร์เองก็รับรู้สาเหตุลึก ๆ นั่นเป็นอย่างดี

               "แล้วอยู่แบบนี้ไม่เหงาหรอ?" ตัวคนเดียวอยู่กลางป่าแบบนี้ ต่อให้จะระแวงคนก็คงจะต้องรู้สึกบ้าง

               "ฉันชินชาไปเสียแล้ว นายจะอยากรู้ไปทำไม คนที่มีคนรายล้อม ยกย่อง เชิดชู มีทั้งชื่อเสียง คนต่างชื่นชม สนใจชีวิตพวกนอกรีตอย่างฉันด้วยหรอ" กลับมาพูดประชดประชันและกดตนเองให้ต่ำด้วยความเคยชิน

พ่อมดพยายามดึงมือออกแต่นายพรานยังคงไม่ยอมปล่อย

               "ทุกคนมองเห็นฉันเป็นในแบบที่ทุกคนอยากเห็น แต่ไม่ได้เห็นตัวฉันที่เป็นฉันจริง ๆ ถึงจะได้รับความสนใจ ได้รับความรัก มันก็ไมได้เติมเต็มให้ฉันอยู่ดี" แหงล่ะ ใครได้ยินก็คงจะหมั่นไส้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงที่ตนรู้สึกมาตลอด

               "ฉันคิดว่าคนหลงตัวเองแบบนายน่าจะชอบเสียอีกที่ได้เป็นที่รู้จัก ได้เป็นศูนย์กลางความสนใจ" อัลวินเค้นยิ้มเย้ย

               "ถ้าเมื่อก่อนก็อาจจะใช่.. จนได้รู้ว่าการที่มีคนมองฉันเป็นวิกเตอร์ ไม่ใช่วีรบุรษ ไม่ใช่ใคร เป็นแค่วิกเตอร์ เหมือนได้รับการยอมรับตัวตนของฉันจริง ๆ"

คนตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่นขณะคิดตามและทำความเข้าใจในประโยค วิกเตอร์อาศัยจังหวะนั่นดึงร่างให้มานั่งคร่อมบนตัก ประจันหน้าเข้าหากัน

อัลวินสะดุ้งตกใจ แต่ยังคุมสติไม่ให้เผลอผลักร่างคนคุกคามไว้ได้ เพราะกลัวจะไปทำให้แผลเปิดอีกรอบ แขนแกร่งรวบไว้ที่หลังเอวกันไม่ให้ลุกหนี

               "รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่.." อัลวินจ้องหน้าเอ่ยถามเพื่อเรียกสติ

               "รู้สิ" วิกเตอร์ตอบกลับแล้วจ้องกลับด้วยสายตาที่หนักแน่นยืนยันในคำตอบ

               "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ" แววตาเต็มไปด้วยความสับสนกับสิ่งที่เกิด ไม่เข้าใจว่าอีกคนกำลังนึกคิดอะไรอยู่ ยังสติดีตามที่บอกจริงหรือไม่

ไม่ได้ตอบด้วยคำพูด วิกเตอร์โน้มศีรษะคนบนตักให้ก้มลงมาแล้วแนบประทับรอยจูบในทันที รีบเบียดลงด้วยสัมผัสที่โหยหา กลีบปากสั่นเทิ้มด้วยความประหม่า จะเผลอร้องท้วงก็ถูกปิดลงไม่ให้จังหวะจะตักตวงอากาศจนเริ่มหอบ

จะดันออกก็กลัวจะถูกแผล ได้แต่ดิ้นไปมา จนสุดท้ายก็ยอมผละจูบแต่ลดไล่ลงมาที่ปลายคางและลำคอ สองมือขยับเลิกเสื้อตัวบางให้ถกขึ้นเข้าไปสัมผัสผิวกายใต้ร่มผ้า อัลวินหายใจแรงพยายามมองคนตรงหน้า

               "วิกเตอร์.." รีบคว้ามืออีกคนก่อนจะรุกล้ำเกินไปกว่านี้

               "แผลนาย..ยังไม่หายสนิทนี่" เฉไฉหาข้ออ้าง แต่ใจจริงก็ห่วงอยู่บ้าง

นายพรานหัวเราะ โอบกายให้เข้ามาชิดยิ่งกว่าเก่าจนอีกฝ่ายหน้าขึ้นสี

               "ไม่เป็นไรหรอก.. คงไม่ต้องขยับเยอะเท่าไหร่" ยิ้มอย่างแฝงเลศนัย วางมือลงที่ท่อนขา

ใบหน้าขาวร้อนวูบระเรื่อแดง สะดุ้งตัวยามได้รับสัมผัสเล้าโลม ริมฝีปากอุ่นเม้มลงที่กลีบปากล่างอย่างพะเน้าพะนอ เนื้อตัวสั่นอย่างหวาดระแวง แค่ถูกตัวยังไม่คุ้น แต่นี่เกินเลยไปมากโขก็ไม่แปลกที่จะวิตก

               "กลัวหรอ? นายเองก็ลองสัมผัสฉันบ้างสิ จะได้หายกลัวน้อยลงไง" ไม่ว่าเปล่า แต่ยกมืออีกคนมาวางแนบไว้บนไหล่เปลือยลากลงมาจนถึงกลางอก

สายตาไล่ตามฝ่ามือที่ยังคงสั่นอยู่บ้าง ลองสัมผัสลูบเบา ๆ ด้วยตนเองโดยเลียนแบบตามอีกคน

               "เป็นยังไงบ้างล่ะ?" วิกเตอร์เอ่ยถาม

               "ร่างกายนาย..ก็ดูกำยำ..สมกับเป็นนายพรานดี" อัลวินตอบด้วยท่าทีเขินอาย

เขาหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

               "อะไร..ฉันพูดอะไรผิดรึไง" อัลวินที่หน้าเสียเพาะถูกหัวเราะเยาะใส่ ทำท่าจะลุกขึ้นหนี

               "เปล่าหรอก ฉันแค่ผิดคาดน่ะที่นายชมกันแบบนี้" วิกเตอร์รีบรั้งตัวไว้ ซุกใบหน้าลงข้างแก้มแดง

จัดการถอดเสื้อผ้าตัวบางที่เกะกะออกให้พ้นทาง เผยผิวขาวที่แทบไม่ต้องแสงแดด ไม่ได้ผอมกะหร่องแต่มีมัดกล้ามจากการเดินป่าและทำงาน

อัลวินขนลุกยามร่างกายเปลือยเปล่า สัมผัสร้อนของริมฝีปากเม้มลงจูบตามไหปลาร้าและหัวไหล่จนเผลอห่อตัวยกแขนขึ้นปกปิดร่างกาย

               "สั่นไปทั่วตัวเลยนะ.." บรรจงจูบอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบโยน

               "ก็..ฉันไม่ชินกับการถูกสัมผัส" หลบสายตาด้วยความอับอาย สองแขนถูกแงะออกให้เผยผิวกาย

แขนแกร่งโอยร่างเข้ามากอดไว้ ซุกใบหน้าลงที่ข้างศีรษะ คลอเคลียใบหูแล้วเอ่ยกระซิบ

               "ฉันจะค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกันนะ" จูบลงที่กกหู ลูบแผ่นหลังลงไปตามแนวสันหลังจนสุดอยู่ที่ขอบกางเกง

อัลวินเบนหน้าหลบจูบเพื่อมาจ้องด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย แม้จะมีอายุมากกว่าแต่เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะมีประสบการณ์มากเท่าอีกคน

               "นี่นายคงรู้สินะ..ว่าฉันกำลังทำอะไร" วิกเตอร์เงยขึ้นสบดวงตาที่เป็นไปด้วยความฉงนนั้น

               "ฉันสิต้องเป็นฝ่ายถามนาย..ว่ารู้ตัวแน่ใช่มั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่" ฝ่ามือซีดยกขึ้นอย่างสั่น ๆ วางลงบนใบหน้าของนายพราน บรรจงเกลี่ยเส้นผมทองที่ปรกหน้าออก

               "ฉันรู้สิ..และไม่มีทางเสียใจด้วย" แววตาเต็มเปี่ยมด้วยความแน่วแน่ ประคองร่างมั่นด้วยสองมือ

อัลวินคลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยนที่น้อยคนนั้นจะได้เห็น โดยเฉพาะยิ่งกับคนตรงหน้า โน้มลงมอบจุมพิตบนหน้าผากเลื่อนแขนโอบไว้ที่หลังคอ ยืนด้วยเข่ายกร่างให้ลอยสูง อำนวยความสะดวกแก่อีกคน เพื่อจะปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เบื้องล่าง สายคาดถูกแกะอย่างช่ำชองแล้วร่นลงเผยสะโพกได้โดยง่าย สองขาเบียดเข้าหากันแต่ก็ติดคนตรงกลาง รีบลดมือทั้งสองลงมาปกปิดยังส่วนที่น่าอาย
รสจูบร้อนแนบลงอีกที่กลีบนุ่ม แทรกปลายลิ้นเข้ารุกรานในโพรงปาก ตวัดเกี่ยวตักตวงดื่มด่ำทุกความหวาน มือคืบคลานลูบไล้ทั่วทั้งร่างเปลือย เลื้อยไปเรื่อยจากกลางหลังสู่บั้นท้าย ใจวูบหายยามถูกคลึงสะดุ้งโหยง คนขี้โกงจงใจแกล้งให้ปั่นป่วน ร่างกายรวนร้อนวูบวาบกระสับกระส่าย แสนอับอายยามรับรู้ที่เบื้องล่าง มือทั้งสองถูกแกะออกให้หลีกทาง เผยกระจ่างให้เห็นแก่สายตา ผละจูบมากดจมูกที่หัวไหล่ มุดซุกไซ้ให้กระสันซ่านทั้งตัว ใจเต้นรัวเมื่อกายอุ่นถูกกอบกุม

               "อะ..แบบนี้..มัน" ยิ่งปกติไม่ให้ใครได้ถูกตัว ดันได้รับสัมผัสยังจุดที่อ่อนไหว ส่งสายตาหวาดหวั่นยังนายพราน ดูชำนาญเสียจนแอบตื่นกลัว

ค่อยขยับอย่างเป็นไปตามที่ว่า ตัวกระตุกหลุดร้องครางเสียงแว่วหวาน เห็นใบหน้าเริ่มจะดูทรมาน จึงรีบสานต่อให้ถึงยังจุดหมาย

               "!?" ทั้งใบหน้าแดงก่ำลามถึงหู อยากจะซ่อนหลบให้มิดไม่ให้เห็น ได้แต่เม้มปากแน่นอย่างเขินอาย

               "ลองบ้างสิ.." ไม่ชักช้ารีรอให้หายเขิน รีบคว้ามือลงแตะระหว่างขา ปลดตะขอเผยสิ่งที่รอนาน แล้วยิ้มมองส่งสายตาแสนเจ้าเล่ห์

กลืนน้ำลายลงคออย่างกลั้นใจ แตะลงอย่างเก้กังดั่งของร้อน ลูบสัมผัสอย่างถนอมด้วยมือสั่น แอบลอกเลียนตามในแบบที่ถูกทำ พรานหนุ่มหลุดขำอย่างเอ็นดูในท่าทาง จับขากางลูบมือตามรอยเปรอะ ของเหลวเลอะถูกกวาดชโลมนิ้ว อ้อมไปแหวกด้านหลังตรงรอยแยก ฝืนชำแรกเข้าช่องทางที่คับแคบ ตกใจแทบจะยันตัวเพื่อลุกหนี

               "อย่าเกร็งสิ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก..เชื่อใจฉันรึเปล่า?" พรมจูบลงกลางอกให้ผ่อนคลาย กดลงแนบตรงตำแหน่งที่หัวใจ บีบตัวแรงและเร็วจนรู้สึก

ถึงขนาดนี้จะลองเชื่อดูสักครั้ง อัลวินพยักหน้าตอบ ผ่อนแรงลงหายใจลึกโน้มพิงหัว ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลอง แขนทั้งสองยกขึ้นเกาะเกี่ยวไว้บนไหล่กว้าง

               "แล้วฉัน..ต้องทำยังไงบ้าง.." อัลวินถามออกไปไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก

               "ทำตามที่ฉันนำให้ก่อนก็แล้วกัน.. แล้วก็ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ" วิกเตอร์กล่าวแล้วหอมฟอดใหญ่ที่ต้นแขน

แทรกเพิ่มนิ้วเข้าไปยังภายใน แรงตอดรัดยังคงมีเป็นพัก ๆ ขยับวนรอจนให้คุ้นชิน จนกระทั่งสะกิดถูกจุดจนร่างแทบอ่อนยวบ ผวากอดโอบรอบคอส่งเสียงคราง

เมื่อตระเตรียมจนแน่ใจว่าเริ่มพร้อม ก็ถอนนิ้วผละให้ออกมา เลื่อนประคองกายร้อนที่ตื่นตัว คว้าเอาเอวรั้งมาอยู่ที่เหนือตน กดสะโพกลงมาจนแนบชิด พ่อมดเหลือบตามองอย่างลังเล ก่อนเป็นฝ่ายกดตัวลงไปเอง

               "แบบนี้..ใช่มั้ย" เอ่ยถามด้วยเสียงสั่น เบียดเสียดกายลงไปจนสุด

               "อา.. นายทำให้ฉันผิดคาดอีกแล้ว.." วิกเตอร์ครางต่ำ กายรู้สึกถึงความคับแน่น ลูบคลึงสะโพกหวังให้ผ่อนคลายแรงลงบ้าง

               "ไม่ชอบหรอ.." พ่อมดถามเพราะกลัวว่าตนจะทำอะไรผิดไป

               "ชอบสิ.. มาก ๆ เลยล่ะ" เงยหน้าขึ้นมอง โน้มให้อีกฝ่ายก้มลงมาเพื่อรับจูบ

อัลวินตอบรับในทันที พยายามจูบตอบอย่างไม่ประสีประสานัก ช่วงล่างเริ่มขยับขึ้นลงเป็นจังหวะตามการควบคุม ส่วนข้างหน้าก็ได้รับการปรนเปรอไปด้วย ยามกายแทรกเข้ามาสุดก็เสียววาบ ร้อนรุมจากภายในแล่นไปทั่วร่าง สองขาที่พยุงร่างจวนจะอ่อนล้า รีบพิงกายเข้าซบโดยระวังไม่ให้ถูกบาดแผล

เสียงยวบยาบเตียงไม้สะเทือนพื้น กายประสานแทบจะหลอมด้วยความร้อน เกาะเกี่ยวไว้ราวกลัวจะต้องแยกจากกัน โอบอิงชิดออดอ้อนจนกระทั่งมาสุดทาง

ล้นทะลักจนไหลเลอะซอกขา ทรุดลงทิ้งตัวนั่งบนตัก หอบหายใจแรงเสียจนอกกระเพื่อม ช้อนตามองคลี่ยิ้มหวาน คนประคองตัวไว้ยกยิ้มตอบ ประกบจูบลงย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูบใบหน้าเขี่ยหยอกที่แต้มไฝ ชิดหน้าผากจ้องตาไม่กะพริบ

               "ฉันรักนายอัลวิน" วิกเตอร์พูดอย่างจริงจัง ฉายชัดผ่านในสายตา

ปั่นป่วนไปหมดในแบบที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน สุขก็ใช่แต่ก็ไม่ทั้งหมด ความเคลือบแคลงกับอดีตยังเกาะในใจ

ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นจริงหรือ

อัลวินแววตาสลดลง ขยับยิ้มด้วยใจที่ขื่นขม ทำไม่ตอบรับคำที่ได้ยิน

               "นายน่าจะนอนพักต่อนะยังเช้าอยู่เลย" ทำยกมือลูบที่หางม้าสีทอง

               "นายเองก็นอนด้วยกันสิ น่าจะเหนื่อยแล้วนี่นา" ไม่ว่าเปล่าแต่ทะลึ่งทิ้งตัวลงไปนอนในทันที พร้อมทั้งดึงฉุดร่างให้ลงไปนอนตาม

สองแขนขาวยันตัวไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นจนได้ล้มไปทับบนตัวจนถูกแผล เขยิบหลบมานอนที่ด้านข้างแทน ร่างถูกโอบให้พิงศีรษะเข้าหา รอจนวิกเตอร์ปิดตาลงสนิท มือยกขึ้นลอยเหนือที่ใบหน้า ขยับปากร่ายคาถามนตร์สะกด เพียงไม่นานเจ้านั้นก็ก็ผล็อยหลับลึกลงไปจริง

               "วิกเตอร์?" ลองทดสอบเรียกและสะกิดดูก็ไม่มีท่าทีจะตื่น

เมื่อแน่ใจว่าต้องมนตร์ให้นิทรา ก็ค่อยลุกอย่างเชื่องช้าออกจากเตียง

               "แบบนี้..ดีที่สุดแล้ว"



อัลวินยืนมองบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

ก่อนทุกอย่างจะถลำลึกเกินจะถอน

พ่อมดผู้น่ารังเกียจ ไม่สมควรจะได้รับสิ่งเหล่านี้



               หลับลึกเสียจนนึกว่าต้องมนตร์ วิกเตอร์ขยับแขนกวาดไปข้างตัว เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าจึงลืมตาขึ้นมองข้างกายก็ไม่พบร่างของคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้ นายพรานรีบลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปทั่ว แต่ก็พบว่าเหลือแค่เขาคนเดียวที่อยู่ในกระท่อม

พอดีจังหวะที่บานประตูถูกเปิดเข้ามา อัลวินที่สวมผ้าคลุมบังหน้าเหมือนทุกทีเข้ามาพร้อมตะกร้าและของที่ไปเก็บจากในป่า

               "ทำไมนายถึงไม่ปลุกฉันล่ะ แล้วออกไปเดินไหวหรอ" เขาเขยิบมานั่งตรงขอบเตียง

อัลวินเดินไปวางตะกร้าลงบนโต๊ะ ทำสีหน้าปกติแล้วหันมาหา

               "ฉันปลุกแล้วนายไม่ตื่น แล้วทำไมฉันถึงต้องออกไปเดินไม่ไหว?" อัลวินเลิกคิ้วใส่ ทำหน้าบึ้งตึง

วิกเตอร์ยันตัวลุกขึ้นยืน เดินช้า ๆ เข้าไปหาแล้ววางมือจับตามตัว

               "!! อะไรของนาย อย่ามารุ่มร่ามใส่ฉันนะ!" พ่อมดรีบถอยตัวหลบ โวยวายเสียงดังใส่

               "ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามมากกว่านะ นายเป็นอะไรน่ะ? เห..หรือว่าเขินอยู่" เพราะคิดว่าอีกคนกำลังแกล้งจึงเข้าไปสวมกอดหลวม ๆ ในทันที

อัลวินดิ้นออกแรงผลักให้ปล่อย จ้องหน้าด้วยแววตาหวาดระแวงใส่

               "นายเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ!" ยกแขนขึ้นมากันตัว ส่วนมือมือคว้าขวดแก้วยาขึ้นมาขู่

วิกเตอร์ยิ่งแปลกใจกับท่าทีที่ได้เห็น สีหน้าแสดงความงุนงงออกมา

               "ก่อนหน้านี้ฉันก็เพิ่งจะสัมผัสนายไป มากกว่านี้อีกด้วย" ก้าวตามเข้าไปหา แต่สายตาก็เหลือบมองขวดในมือ

               "อย่าพูดอะไรน่าขนลุก! ละเมออยู่รึไงกัน" ยังคงยืนยันไม่ยอมรับ

               "เล่นมุกตลกอะไรของนาย จะแกล้งจำไม่ได้งั้นหรอ" วิกเตอร์มุ่นคิ้วเพราะเริ่มจะหงุดหงิด

               "นายต่างหากที่เพี้ยนไปแล้ว เดินได้แล้วนี่ รีบกลับไปที่หมู่บ้านซะ" อัลวินเอ่ยพร้อมโบกมือไล่ไปทางประตู

และนั่นก็ยิ่งทำให้นายพรานหนุ่มไม่พอใจเป็นอย่างมาก วิกเตอร์คว้าข้อมือแล้วดึงตัวพ่อมดเข้ามาใกล้

               "นายจะทำเป็นปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นงั้นหรอ! ไหนว่าจะเชื่อใจฉันไงล่ะ หรือรับไม่ได้ที่ฉันบอกว่ารักนาย" เผลอออกแรงบีบข้อมือจนอีกคนร้องด้วยความเจ็บ

อัลวินสะบัดทิ้งออกแรงผลักร่างตรงหน้า

               "รัก?.. นายพูดอะไรของนาย" พ่อมดทวนคำพลางเลิกคิ้ว

               "ใช่ ฉันบอกกับนายว่าฉันรักนาย" เขาพูดทวนประโยคนั้นอีกครั้ง จ้องหน้าอีกคนด้วยแววตาจริงจังเช่นเดิม

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนาน ก้มหน้าลง ก่อนไหล่ทั้งสองข้างจะสั่นแล้วตามมาด้วยเสียงระเบิดหัวเราะลั่น

               "ฮะๆ.. นายรักฉัน?.. รักตัวประหลาดที่น่ารังเกียจ ที่ดูแคลน รักลงด้วย แสดงว่ายาเสน่ห์ที่ฉันปรุงใช้ได้ผลแล้วสินะ" เจ้าตัวยังคงหัวเราะไม่หยุด แล้วเดินไปรอบกระท่อมแล้วขยับยิ้ม

               "ยาเสน่ห์? พูดเรื่องอะไรของนาย" มีแต่เรื่องที่ตนฟังไม่รู้เรื่อง

               "ใช่.. ยาที่ฉันทำให้นายดื่มทุกวันจริง ๆ แล้วมันคือยาเสน่ห์ที่ฉันตั้งใจปรุงขึ้นมาเพื่อทดสอบไงล่ะ! แล้วมันก็ได้ผลดีเกินคาดเสียด้วย" อัลวินเค้นยิ้มใส่

               "คิดว่าฉันจะโง่เชื่อเรื่องแบบนั้นหรอ นายจะอธิบายเรื่องที่พวกเรานอนด้วยกันว่ายังไง! จะบอกว่าจำไม่ได้หรอ" วิกเตอร์ยังคงโต้เถียงกลับ

               "ฉันจะจำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันก็คงเป็นภาพหลอนภาพมายาจากฤทธิ์ของยานั่นแหละ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ที่ฉันทำก็เพราะอยากจะแก้แค้นไงล่ะ! ทั้งนายและก็พวกคนในหมู่บ้าน ขนาดกับนายที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกกลั่นแกล้งฉันยังหลงรักฉันได้เลย ทำไมพวกคนที่เหลือจะใช้ยานี่ไม่ได้ผลกัน หึ"

นายพรานพยายามจะจ้องมองหาเพื่อจับเท็จ แต่ก็ดูออกได้ยากเพราะผ้าคลุมที่ปิดหน้า

               "นายโกหก.. นายไม่ใช่คนแบบนั้น นายช่วยฉันที่บาดเจ็บ พาฉันมารักษา คอยทำแผลให้ ไม่มีทางที่นายจะทำแบบนั้น"

ทั้งช่วยเหลือเขา คอยดูแลจนแผลหายดี ให้ที่นอนจนตัวเองต้องหนีลงไปนอนบนพื้นแข็ง ๆ ไม่มีทางเลยที่เจ้าตัวจะทำแบบนั้นลง

               "นายแน่ใจรึไงว่าทุกภาพที่นายเห็นจะเป็นเรื่องจริง แล้วไม่เอะใจสักหน่อยรึไงที่อยู่ ๆ ดันมารักฉันที่เป็นพ่อมดที่นายรังเกียจนักหนา และยังเป็นผู้ชายเสียอีก"

เขาชะงักไปครู่หนึ่งเผลอหยุดคิดตามคำของอีกฝ่าย

               "ไม่.. นายกำลังทำให้ฉันสับสน อย่ามาหลอกฉัน นายจ้องฉันสิแล้วบอกว่านายไม่ได้รู้สึกอะไรและเรื่องทั้งหมดมันไม่เคยเกิด" วิกเตอร์ก้าวเข้าไปใกล้ยืนประจันหน้า

อัลวินหลับตาแล้วทำเป็นเมิน

               "นายคิดจริง ๆ หรอว่าฉันจะลืมเรื่องเลวร้ายที่นายเคยทำกับฉันไว้"

ไม่ยอมที่จะสบตากลับแล้วทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง นายพรานหวนนึกถึงอดีตตามคำบอก ทุกอย่างที่เขาทำตามจริงก็ไม่น่าจะให้อภัยหรือลืมกันได้ง่าย ๆ

               "นายเกลียดฉันมากจนยอมรับความรู้สึกของฉันไม่ได้เลยสินะ ถึงต้องสร้างเรื่องโกหกแบบนี้" เขายกมือขึ้นเอื้อมไปหาหวังจะจับให้ใบหน้านั่นหันกลับมามอง

แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรง สายตาดูแคลนจ้องใส่อย่างแข็งกร้าว

               "นายคิดหรอว่าความรู้สึกรักของนายมันคือของจริง? มันก็แค่ความหลงที่เกิดจากเวทมนตร์ ถ้านายรักฉันจากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ว่าจะอะไรนายก็ต้องยอมทำเพื่อฉัน จะพาฉันกลับเข้าหมู่บ้านก็ยังได้ แต่นายก็ไม่ทำ จะห้ามไม่ให้ใครมารังแกฉันอีกก็ได้ แต่นายก็ไม่ แค่ฉันมาอยู่ใกล้ ๆ นาย ทำดีด้วยแค่ไม่กี่วัน นายก็ดันหลงรักซะแล้ว ทั้งที่ปกตินายออกจะมีผู้หญิงรายล้อมให้เลือกตั้งเยอะแยะ มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ"

อัลวินแสดงสีหน้าเวทนาใส่ แกว่งขวดยาในมือเล่น

วิกเตอร์ยิ่งไปพักใหญ่ะคล้อยตามการโน้มน้าวของอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่พูดก็พอมีมูลอยู่บ้าง ในหัวสับสนตีกันไปหมดว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรเรื่องโกหกกันแน่ เขาเริ่มจะไม่แน่ใจกับตัวเองเสียแล้ว ใช่เขาเคยดูแคลนอีกฝ่ายที่เป็นพวกประหลาด เคยทั้งแกล้งสารพัด ใช่หากเขารักจริงจะอะไรก็ต้องยอมพร้อมที่จะทำ ใช่หากเขารักเขาต้องอยากพาไปให้อยู่ด้วย แต่ไม่เขาไม่กล้าที่จะพากลับไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช้เวลาเพียงไม่ก็กี่วัน ความสัมพันธ์เพียงชั่วคราวตนนั้นก็เคยผ่าน แต่ไม่เลยสักครั้งที่คิดจะจริงจัง กับหญิงสาวในหมู่บ้านที่เพียบพร้อมก็มากมาย ไฉนตนจึงเลือกและสับสนกับเจ้าตัว

               "ฉันไม่ได้รักนายจริง ๆ อย่างนั้นหรอ..?" นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความจุกแล่นเข้ามาในอก อัดแน่นจนมาถึงคอ หัวใจบีบรัดเหมือนถูกเค้นแล้วเค้นเล่า คำที่กล่าวดังซ้ำ ๆ ถามย้ำตนอยู่ในหัว หากไม่จริงแต่ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้

               "ใช่.. แต่ถ้าจะโทษ นายก็โทษตัวเองเสียเถอะที่พลาดท่า วิกเตอร์"

อัลวินแสยะยิ้มหัวเราะ

               "สาแก่ใจนายแล้วสินะ..ที่ทำให้ฉันทรมานแบบนี้ได้ ไม่ว่าฉันจะทำยังไงก็คงจะชดใช้เรื่องที่เคยทำกับนายไมได้สินะ" นายพรานขยับยิ้มเจื่อน ก่อนจะก้มลงหัวเราะตัวเอง หากเป็นแค่มนตร์ให้หลงทางทำไมถึงได้รุนแรงจนฝังลึกสุดหัวใจ เพียภาพมายาช่างร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ แต่อย่างไรคงไม่อาจละทิ้งซึ่งหน้าที่

ก้าวขาไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมและข้าวของของตนที่กองไว้ หันกลับมามองอีกคนที่ยืนหันหลังใส่

               "ขอบคุณที่ช่วยรักษาแผลฉัน.. แต่ถ้านายจะมาทำอันตรายคนในหมู่บ้านฉันก็คงจะปล่อยไว้ไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วฉันก็ควรกลับไปในที่ของฉันเพื่อปกป้องทุกคนไว้ ลาก่อนล่ะ..อัลวิน"

วิกเตอร์เอ่ยคำลาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอกดั่งถูกกรีดแทง ดันบานประตูเปิดออกก่อนที่จะจากไป


ดวงตาคู่อเมทิสต์เหลือบมองประตูที่ถูกปิดลง เมื่อภาพแผ่นหลังของผู้มาเยือนได้จากออกไปแล้ว รอยยิ้มก็สลายหายไปในที ข้างแก้มอาบด้วยน้ำตาที่ถูกกลั้นไว้มาแสนนาน สองมือยกขึ้นปิดหน้าของตนก่อนจะปล่อยเสียงร้องสะอื้นด้วยความเจ็บปวดที่ไม่แพ้กัน ทุกคำกล่าวที่โป้ปดบดขยี้ในอกจนแทบแหลกสลาย แค่ใบหน้าแสนทรมานเขาก็ไม่กล้าจะจ้องมอง


ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

แบบนี้ดีที่สุดแล้ว

ให้ทุกอย่างจบลงแค่ตรงนี้




               แม้จะกลับมายังหมู่บ้านเพื่อสงบสตินึกทบทวนอยู่หลายวัน ก็ยังกระวนกระวายยังคงไม่ลืมเรื่องที่ผ่านมาอยู่ดี ทุกวันที่ผ่านความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมานั้นก็ไม่มีวี่แววจะจางลดลงไป แต่อีกใจหนึ่งก็สับสนกับคำพูดของอีกคนว่าทุกอย่างมันไม่จริงเป็นเพียงภาพลวงและฤทธิ์ยา

ช่างรุนแรงจนรวดร้าวลึกลงกว่าบาดแผล เพียงคะนึงใจจะขาดเพราะถูกรัด ยิ่งนานวันยิ่งทวีเจ็บเจียนตาย จะรอวันให้คำสาปนี้นั้นเสื่อมคลาย คงไม่วายที่จะตายด้วยพิษรัก

เหตุใดเพียงมนตร์เสน่ห์ทำให้คลั่งได้เสียขนาดนี้ ไม่มีแม้ความจริงสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ สองมือกุมศีรษะที่ปวดตุบเพราะความคิดที่ตีกันไม่เลิก แถมคำขู่ที่บอกว่าจะกลับมาแก้แค้น ถ้าหากจะลงมือจริง คงไม่รอให้ผ่านมานานขนาดนี้ให้เขาเตรียมรับมือทันหรอก เขาเดินตรวจตราสำรวจความเรียบร้อยภายในหมู่บ้านดั่งที่ทำอยู่เป็นประจำก็ไม่พบความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นเลย

ท้ายที่สุดคงต้องกลับไปยังจุดเริ่ม นายพรานเก็บข้าวของเตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้าไปในป่าอีกครั้ง



               วิกเตอร์เดินลึกเข้าป่ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบกับกระท่อมที่คุ้นเคยดี ยืนมองนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ราวกับลังเลที่จะเดินเข้าไปใกล้ผิดวิสัยตัวตนที่เคยเป็น ผ้าม่านปิดสนิทจนไม่อาจเห็นในตัวบ้านว่ามีคนอยู่หรือไม่ นายพรานกำหมัดแน่นพร้อมสูดหายใจลึกและตรงไปยังหน้าบานประตู ยกมือขึ้นค้างไว้ก่อนจะตัดสินใจเคาะลง

ได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังจากข้างใน แสดงว่าเจ้าตัวไม่ได้ออกไปไหน ใจเต้นตุบตามจังหวะที่เสียงเดินเริ่มดังเข้ามาใกล้จนกระทั่งเงียบลงก็เหมือนหยุดกึกตามไป นายพรานลองเคาะดูอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าบ้านไม่ยอมเปิดต้อนรับ

               "กลับมาอีกทำไม" เสียงนั่นเอ่ยถามโดยทันทีโดยไม่ต้องไถ่ถามว่าใครกันที่มาเยือน

ก็พอรู้บ้างว่าสามารถทำนายหรือเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นจริง

               "นาย..ก็น่าจะรู้?" วิกเตอร์พูดด้วยเสียงนิ่ง วางมือลงบนบานประตูไม้

               "อ้อ นายคงจะทนฤทธิ์ยาเสน่ห์ไม่ไหวทำให้คิดถึงจนอยากจะมาเจอฉันสิท่า" อัลวินทำน้ำเสียงดูแคลนพูดผ่านอยู่หลังประตู

               "ใช่! ตั้งแต่วันนั้นไม่ว่าฉันจะทำยังไงในหัวของฉันก็มีแต่เรื่องของนาย ทั้งที่ความรู้สึกของฉันมันเกิดจากเวทมนตร์ไม่ใช่ความจริง แต่ฉันก็หยุดมันไม่ได้! ฉันทรมานทุกครั้งที่คิดถึงนาย! นายคงจะดีใจมากล่ะสิที่ทำให้ฉันเป็นบ้าแบบนี้ได้!!" กำปั้นทุบลงใส่จนประตูสั่น วิกเตอร์ตะโกนเสียงดังระบายความรู้สึกอัดอั้นที่ทำให้เขาต้องทรมานอยู่ในอก ดวงตาคู่สีฟ้าสั่นไหวไม่เหลือเค้าเดิมที่มักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความทระนงตนและมั่นใจ

พ่อมดเว้นจังหวะเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา

               "ทรมานหรอ ดีสิ เท่านี้นายก็จะได้รับบทลงโทษที่สาสมแล้วไงล่ะ หรือถ้านายทนไม่ไหวก็เสนอตัวมาเป็นทาสรับรับใช้ฉันเสียเลยสิ! รักฉันมากอยากจะอยู่กับฉันมากไม่ใช่หรือไงฮึ อ่า..เป็นความคิดที่ดีใช่ไหมเล่า" อัลวินพูดเสียงดังหลุดโทนเพี้ยนไปจากเดิม พลางปรบมือชื่นชมข้อเสนอของตนเอง

               "ฉันมาขอร้องนายให้ช่วยถอนคำสาปนี่ต่างหาก! ให้ฉันทำอะไรก็ได้ ขอแค่นายเอายาถอนพิษมาให้ฉัน..อัลวิน" วิกเตอร์พูดตะโกนเสียงสั่น ทุบบานประตูด้วยแขนทั้งสองข้างไม่หยุด ขอบตาแดงก่ำด้วยความเจ็บแค้นที่ตนเองไม่สามารถจะทนกับความปวดร้าวในใจนี้ได้

               "นายจะพังบ้านฉันหรือไงกัน! ยาถอนพิษอะไรนั่นฉันไม่มีหรอกนะ หรือถึงจะมีคิดว่าฉันจะยอมให้อย่างนั้นหรอ?" รีบพูดปฏิเสธที่จะช่วยเพื่อเอ่ยไล่ไปให้พ้น

               "ฉันยอมทำทุกอย่าง.. เพราะฉะนั้น..ขอร้องล่ะ.." ขอบตาแดงก่ำจ้องประตูด้วยสายตาเว้าวอนราวกับจะสามารถทะลุไปยังอีกฝั่งให้คนด้านหลังมองเห็นได้

               "แหม แหม แหม... วิกเตอร์ วิกเตอร์ วีรบุรุษของหมู่บ้าน ผู้ทระนงตัว หยิ่งผยอง จองหอง จะยอมทำได้ทุกอย่างจริง ๆ น่ะหรือ? ไหน..ถ้าฉันสั่งให้นายคุกเข่าขอร้องฉันนายจะกล้าทำหรือเปล่า?"

บานประตูไม้สีทึบถูกแง้มเปิดออกจากข้างใน ฝ่ามือซีดจับไว้ที่ขอบเอนพิงแขนทาบเอาไว้ ผ้าโปร่งสีเข้มย้อยลงเผยช่องให้เห็นข้อศอก ก้มลงเสียจนผ้าคลุมปิดครึ่งหน้าบนไว้จนมิด วาดยิ้มหวานหัวเราะคิกคักใส่

               "ว่าไงเล่า คงไม่กล้าล่ะสิ?" เอ่ยท้าทายเพราะรู้คงไม่ทำ

แต่แล้วร่างสูงที่ยืนตรงหน้ากลับย่อตัวลงต่ำคุกเข่าลงในทันที สองแขนทิ้งดิ่งข้างลำตัว เงยศีรษะเผยสีหน้าหมดหนทาง ขยับปากกล่าวคำอ้อนวอน

               "ฉันยอมแพ้นาย...นายเลือกวิธีแก้แค้นที่ทำให้ฉันทรมานได้มากที่สุด..อัลวิน" แสยะยิ้มเวทนาตัวเอง หยดน้ำตาไหลลงจรดคาง

               "ได้โปรด.. ทำให้ฉันลืมความรู้สึกนี้ ลืมความทรมานนี้เถอะ" นายพรานคว้าที่ชายของผ้าคลุมยาวกำไว้แน่นเอ่ยเสียงเครือ


พ่อมดชะงักนิ่งตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อ ใครเล่าจะคิดว่าจอมยโสจะเสียสิ้นหมดสภาพ ทิ้งศักดิ์ศรีที่รักหนามาร้องขอ ทำหน้ากากที่สวมไว้นั้นสั่นคลอน ขาดรอนรอนจนจะแตกเหมือนหัวใจ


ทำเป็นยิ้มหัวเราะร่าเพื่อกลบเกลื่อน ข้างในเฝื่อนขื่นขมทนไม่ไหว ยอมแสร้งร้ายหวังไล่ไปให้ไกล ไม่ไว้ใยแต่ดันเหลือจนเจ็บเอง


               "..อยากลืม..มาก..สินะ...ก็ได้" อัลวินเสียงแผ่วขาดหาย หากเอ่ยดังกลัวจะหลุดเสียงสะอื้น ไม่อาจฝืนยกยิ้มได้เช่นเดิม


ยาถอนพิษอะไรใครจะมี
มนตร์เสน่ห์อะไรนั่นลวงทังเพ


               "ฉัน..จะถอนคำสาป..ให้นาย หลับตาลงซะ"


ยกสองมือมาวางเหนือบนหน้าผาก ยากจะควบไม่ให้สั่นจนสังเกต จึงพูดสั่งว่าให้ปิดตา แล้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี


ให้ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง
ทุกเรื่องราวที่ได้พบที่ได้เกิด


               "ฉัน..จะลบความทรงจำของนาย..ทั้งหมดที่เกี่ยวกับฉัน.."


ลบทิ้งเสียลบให้หมดอย่าให้เหลือ..
ลืมมันเสียลืมทุกอย่างความทรงจำ..


พลางหลับตาลงเพ่งสมาธิ หวนนึกย้อนถึงเรื่องราวที่เคยมี ภาพทุกภาพทุกสัมผัสยังชัดเจน ล้นออกมาจนรื้นเป็นหยดน้ำตานอง ขยับปากร่ายมนตร์ปนสะอื้น ราวกับร่ายคาถาทำร้ายตน ยิ่งท่องต่อยิ่งจะร้าวที่หัวใจ


               "อัลวิน..นาย..กำลังร้องไห้..งั้นหรอ?"


น้ำตาที่ล้นเอ่อร่วงหล่นลงสู่ดวงหน้า สัมผัสชื้นเรียกให้ปรือตาขึ้นมาจ้อง ภาพแรกที่ปรากฏคือใบหน้าที่กำลังน้ำตานอง สะอื้นร้องปล่อยโฮเหมือนเด็กขี้แย

               "ไม่..ไม่ใช่.." รีบบอกปฏิเสธกำชับผ้าคลุมมาบังพลางเดินหลบหน้าเข้าไปข้างในกระท่อม

               "โกหก" นายพรานรีบลุกขึ้นแล้วตามเข้าไป

วิกเตอร์คว้าไหล่ที่กำลังสั่นไว้พยายามบังคับตัวให้หันหลับมา ยื้อผ้าคลุมหมายจะเปิดให้เห็นหน้า ดึงออกจนหลุดเห็นขอบตาที่แดงก่ำ

               "ฉันไม่ได้ร้องไห้! ฉันจะลบความทรงจำของนาย ทุกอย่างจะได้จบเสียที!" สองมือที่สั่นเอื้อมประคองใบหน้าของนายพราน คู่อเมทิสต์ที่คลอด้วยน้ำตา เพ่งจ้องมองดวงตาคู่สีฟ้า

               "ก็ทำเลยสิ.." จ้องกลับด้วยแววตามั่นไม่ยอมแพ้ ยกขึ้นวางทาบบนหลังมือขาว พูดท้าทายให้ลงมือตามที่ขู่

แม้จะตั้งใจจะเพ่งสมาธิอีกครั้งแต่ยามที่ได้สบตาเช่นนี้ก็ไม่สามารถตัดใจทำได้ลง ก้มหน้านิ่งหลบสายตาพลางเม้มปากแน่นอย่างโกรธเคืองตนเองที่ใจไม่แข็งพอ ผละมือออกยกมาปิดหน้าแล้วปล่อยน้ำตาที่ไม่อาจจะทนกลั้นไว้ได้อีก

แขนรวบโอบร่างที่ร้องไห้ไม่หยุดเข้ามากอด ยกมือข้างหนึ่งประคองลูบข้างใบหน้า วิกเตอร์พิงศีรษะลงชิดหน้าผาก

               "ฉันรักนาย.. มันไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างที่นายพยายามหลอกฉัน" ความสับสนได้ถูกคลี่คลาย นี่คือความจริงที่ตนนั้นจะไม่รู้สึกลังเลอีกแล้ว

               "ไม่! นายเนี่ยนะจะรักฉัน.. ไม่มีทาง..นายรักฉันไม่ได้" อัลวินยิ้มอย่างขื่นขมส่ายศีรษะไปมา

               "ทำไมฉันถึงรักนายไม่ได้ ในเมื่อนายก็รู้ว่าความรู้สึกของฉันมันเป็นเรื่องจริง" วิกเตอร์พยายามช้อนปลายคางให้เงยขึ้นมอง แต่อีกคนก็เบือนหน้าหลบอยู่ดี

               "ไม่ได้หรอก..ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย.. นายไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับฉันแต่แรก...เพราะสุดท้าย..นายจะไม่เหลืออะไรเลย" พ่อมดเหลือบมาจ้องกลับด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย


วีรบุรุษต้องอยู่ท่ามกลางผู้คน เป็นความหวัง

ขณะที่พ่อมดต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นที่เกลียดชัง


               "ก็ช่างมันสิ ฉันไม่สนหรอก" เกลี่ยนิ้วลงที่แก้มไล่ปาดคราบน้ำตา

               "ได้ยังไงกันล่ะ.." อัลวินมุ่นคิ้วมองเอ่ยท้วงกับคำพูดเหลวไหล

               "ก็นายบอกเองนี่ว่าฉันต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อนายได้" ยังจำได้แม่นกับประโยคนั้น ในครั้งนั้นยังมีความคิดที่ตีกัน แต่ตอนนี้ตนนั้นแน่ใจว่าไม่ว่าจะอะไรก็ยินดีที่จะทำ

พ่อมดนัยน์ตาหม่นลงเล็กน้อย ความรู้สึกผิดเกาะกินในใจที่เอ่ยเช่นนั้นไป

               "ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้นจริง ๆ ฉันแค่พูดให้นายยอมถอดใจ" ไม่เคยคิดที่อยากได้เช่นนั้นเลย วางมือทาบลงบนกลางอก สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงก่อนจะเม้มปากออกแรงดันให้ปล่อยออกจากอ้อมแขน

ทว่าข้อมือก็ถูกคว้าให้แนบไว้ตามเดิม นายพรานกอดไว้ไม่ยอมปล่อย

               "กลับไปกับฉัน..ฉันสัญญาจะไม่ให้ใครมารังแกนาย" วิกเตอร์กระชับอ้อมแขน ซุกใบหน้าลงบนบ่า

               "ไม่ได้..ทุกคนจะหมดศรัทธาในตัวนาย" อัลวินพยายามคัดค้าน

ชื่อเสียงที่สะสมมา เกียรติที่ได้รับ จะต้องแปดเปื้อน คงยอมให้ตนเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้

               "ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ฉันก็แค่กำลังปกป้องคนที่ฉันรัก" กระซิบบอกชิดใบหูด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ทำเอาเสียเสียววาบจนปั่นป่วน ทั้งหน้าขึ้นสีระเรื่อเพราะเขินอายรีบซุกหลบลงบนไหล่กว้าง

               "แต่..ฉันก็..กำลังปกป้องคนที่ฉันรักเหมือนกัน.." พูดพึมพำบ่นถึงเจตนาในการกระทำของตนเองที่ไม่อยากจะลากให้อีกคนนั้นต้องมาเดือดร้อน

วิกเตอร์ชะงักนิ่งไปพักใหญ่ รีบผละตัวออกมาแล้วจ้องหน้า

               "นาย..พูดว่าอะไรนะ" เขาถามน้ำอีกครั้งให้แน่ใจ แม้ว่าจะได้ยินตั้งแต่ในหนแรก

อัลวินอ้าปากเตรียมจะพูดซ้ำแต่ก็ค้างนิ่งเงียบไปกลางคัน หน้าร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู

คิดอะไรก็เผลอพูด ยิ่งตอนนี้สติไม่อยู่กับตัว อันตรายเสียจริง

               "นายนี่..น่ารักจนฉันคิดไม่ถึงเลยแฮะ" กดปลายจมูกลงพลางคลอเคลีย แทรกปลายนิ้วไปตามเส้นผมนุ่ม

นิ่งเงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไร แต่ก็ไม่ปฏิเสธสัมผัสที่ได้รับ

               "นายคงทรมานไม่ต่างจากฉันสินะ..ตอนที่ต้องโกหกเพื่อให้ฉันตัดใจ" แนบจูบลงปลอบโยนที่ขมับ ไล่มายังระหว่างคิ้วเพื่อคลายปม

               "ฉันยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจหรอกนะ.." อัลวินขยับยิ้มบาง

วิกเตอร์ผละออกมาอีกครั้ง วางมือจับที่ต้นแขนทั้งสอง มุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจที่อีกคนยังคงอยากผลักไสเขา

               "ทำไมล่ะ..การที่ไม่เป็นที่ต้องการ..นายก็รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน"

ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ฝ่ามือขาวเอื้อมยกขึ้นมาลูบบนหน้าคมคาย

               "ฉันบอกนายไปแล้ว..นี่ไม่ใช่ทางที่นายควรจะเลือก"

พูดราวกับรู้บางอย่าง นายพรานเลิกคิ้วฉงนใจ

               "แต่พวกเรา..ก็มีความสุขร่วมกันไม่ใช่หรอ.. หรือว่านายรู้อะไร?" ถามออกไปด้วยความรู้ แต่อีกใจกลับหวั่นในคำตอบ
ดั่งเดาได้จึงไม่บอก พ่อมดคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน คนดื้อดึงคงไม่ยอมที่จะเชื่อ

               "ก็ได้.. ฉันจะทำตามที่นายต้องการจะไม่ผลักไสนายอีก แต่ว่านายต้องให้สัญญากับฉัน" อัลวินเอ่ยยื่นข้อเสนอ

               "สัญญาอะไร?" วิกเตอร์เลื่อนมากุมมือที่จับหน้าของตน พูดถามกลับถึงสัญญาที่ว่า

               "นายจะมาหาฉันที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้..แต่ให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน โลกจริง ๆ ที่นายอยู่คือที่หมู่บ้าน ใช้ชีวิตอย่างปกติ มีครอบครัว ส่วนฉันเป็นแค่ความฝันไม่มีตัวตนอยู่จริง" จ้องมองลึกในดวงตาตลอดทุกถ้อยคำที่เอ่ย

คนได้ฟังยิ่งไม่เข้าใจในใจความที่อยากสื่อ เหตุใดจึงต้องลดคุณค่าเสมือนไร้ซึ่งความสำคัญ แถมยัดเยียดให้ตนไปมีชีวิตร่วมกับคนอื่นแทนเสียอีก

               "แล้วคิดว่าแบบนั้นฉันจะมีความสุขหรือไงกัน สำหรับฉันการที่ได้อยู่กับนายมันคือเรื่องจริง ไม่มีทางที่ฉันจะทำเหมือนมันเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้น" ออกแรงบีบมือจนแน่น เพื่อย้ำเตือนว่าทุกอย่างไม่ใช่ฝัน และคนตรงหน้านั้นมีตัวตนอยู่จริง ๆ

               "เพราะมันเป็นหนทางที่นายจะเจ็บปวดน้อยที่สุดแล้ว" อัลวินพิงหน้าผากซบพลางปิดตาลง

               "นายจะรู้ได้ยังไงกัน.. ว่าไม่มีทางอื่น" เขายังคงไม่ยอม

พ่อมดเพียงยิ้มแล้วหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ตอบ มือลูบไล้ใบหน้าและเส้นผมสีทอง

               "เอาเถอะ.. ฉันคงจะเปลี่ยนใจนายไมได้อยู่แล้วนี่"


เลื่อนแขนโอบไว้รอบหลังต้นคอ ถูไถจมูกที่แก้มปรือตามอง เล่นทำเอานายพรานนึกแปลกใจ ยามสายตาสอดประสานจ้องมองกัน ระยะห่างระหว่างกันก็ลดลง กลีบปากนุ่มถูกช่วงชิงด้วยรสจูบ เริ่มรุกเร้าร้อนแรงด้วยคิดถึง ทั้งสองกอดกันเกลียวอย่างโหยหา รีบช้อนร่างยกขึ้นอุ้มพาตัวไป


บรรจงวางอย่างเบามือบนเบาะนุ่ม แขนยกเอื้อมยึดเสื้อเอาไว้กุม ก่อนเสื้อคลุมจะถูกถอดออกไป เพียงไม่นานทั้งร่างก็เปลือยเปล่า เล่นหยอกเย้าไปมาอย่างมันเขี้ยว


               "ฉันรักนายอัลวิน.." กระซิบซ้ำพร่ำบอกพร้อมมอบสัมผัสที่อ่อนโยน


               "...ฉันก็รักนาย..วิกเตอร์" เกาะเกี่ยวมือไว้ที่แผ่นหลัง
              



ให้จดจำทุกความสุขที่ได้รับ

เลือกหนทางที่ไม่อาจจะหวนกลับ

แล้วสักวันจะได้เข้าใจเอง





-End-





ในเมื่อตามเรื่องมันต่อข้างหลังไม่ได้.. ก็ต่อข้างหน้าเอา(ดราม่ากว่าเดิม5555555)
ตามเนื้อเรื่องจรืงอัลวินออกแนวเป็นหมอดูฟีลแนวยิปซีมากกว่าพ่อมด แต่แก้ไม่ทันแหล่ว..

/ชอบลงฟิคเช้า ๆ