12.21.2559

[Short Fic Utapri] Like Bite, Like Bark (CamusRan)


Fan-fiction Utapri

Title: Like Bite, Like Bark
Pairing: Camus x Kurosaki Ranmaru

A/N: ฟิคนี้เวิ่นพล็อตไว้นานมาก ตั้งแต่ช่วง Pirates of the frontier มีอัพ blog กัน เนื้อเรื่องในฟิคนี้จะเป็นเหตุการ์ณหลังจากที่คามิวอัพบล็อกค่ะ
คามิวอัพบล็อกเล่าถึงช่วงที่ต้องถ่ายทำบทต่อสู้กับรันจัง และแน่นอนว่าในบล็อกก็ยังอยู่ในมาดไอดอล เจ้าตัวเล่าว่ารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ต้องเล่นบทแบบนี้(ซ้อมรันจัง)กับเพื่อนร่วมบริษัท /ถ้าเกิดฟังดราม่าซีดีแล้วจะรู้ว่า..รันจังโดนหนักมาก
หลังจากนั้นรันจังก็มาคอมเม้นท์ในเอนทรี่นั้นว่า แกมันปิศาจ สีหน้าตอนกำลังเล่นออกจะมีความสุขชัด ๆ คามิวก็ตอบคอมเม้นว่ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคำชื่นชม(ที่อินกับบท) //จำประโยคเป๊ะๆไม่ได้แต่ประมาณนี้ค่ะ..ซึ่งบล็อกช่วงไชน์นิ่งเธียร์เตอร์โดนลบออกจากเว็บหมดแล้วเพราะเอามาทำขายเป็นเล่ม

พล็อตส่วนนึงต้องขอขอบคุณเน่จังด้วยที่ช่วยกันเวิ่น ฟฟฟ

ส่วนตัวแล้วชอบมิวรันในสถานะแบบ sexfriend กันล่ะค่ะ เรียกได้ว่าทะเลาะกันไปมาสุดท้ายไปลงเอยที่เตียงทุกครั้ง ในฟิคเรื่องนี้ก็จะมีคสพ.กันแนวนี้ล่ะ




Warning: 18+




               เสียงกรอบแกรบของท่อนแขนที่ถูกเหยียดขึ้นดังก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน เป็นการซ้อมอีกวันที่ใช้แรงเยอะพอตัว แต่ก็ยังดีกว่าวันก่อนที่ต้องเข้าฉากต่อสู้ล่ะนะ ชายร่างสูงหายวอดขณะเดินมาตามทางจนมาหยุดอยู่หน้าบานประตูห้องพักของโรงแรม นัยน์ตาคู่สองสี ข้างหนึ่งเทาตามธรรมชาติ ส่วนอีกข้างเป็นเลนส์สีม่วง เพ่งจ้องหมายเลขที่แปะอยู่ด้านหน้า มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาคีย์การ์ดก่อนจะแตะลงเปิดปลดล็อค



ฝ่าเท้าก้าวเข้าไปด้านใน เสียบการ์ดลงที่เครื่องติดผนังเพื่อเปิดสวิตซ์ไฟฟ้า เมื่อไฟสว่างขึ้นดวงตาต้องเบิกโพลงพร้อมทั้งตะโกนออกมาด้วยความตกใจ



               "แกเข้ามาได้ยังไงวะ!!" คุโรซากิ รันมารุส่งเสียงโวยวายยามเห็นบุรุษผมยาวบลอนซ์กำลังยิ้มแย้มสดใสยืนตระหง่านอยู่กลางห้องพักของเขา



สองขาก้าวถอยพรืดอัตโนมัติยามยายาวคู่นั้นก้าวเดินตรงเข้ามาหาราวกับมีสัญชาตญาณรับรู้ถึงอันตราย


               "กระผมเพียงต้องการจะมาแสดงความขอบคุณรันมารุที่เสียสละเวลามาแสดงความเห็นชื่นชมในบล็อกของกระผมด้วยตัวเองครับ" รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มชาวต่างชาติยังวาดอยู่ไม่เลือนลงเลย พร้อมทั้งชูคีย์การ์ดสำรองที่ไม่รู้ว่าไปสรรหามาได้ยังไง
ถ้อยคำสุภาพและน้ำเสียงที่เอ่ยก็ยังเป็นโทนที่ชวนให้ขนลุกเข้าไปอีก


ข้อความที่โพสนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่การชื่นชมแต่อย่างใด และอีกฝ่ายก็ไม่ได้มาเพื่อขอบคุณอย่างแน่นอน


               "ไม่ต้องการว้อย ออกไปจากห้องฉันซะ!" รันมารุยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมหากอีกคนตั้งท่าจะจู่โจมเขาก่อน แววตาที่จ้องแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจอย่างเด่นชัด

               "ใจร้ายจังเลยนะครับ กระผมเพียงแค่อยากจะแสดงความขอบคุณอย่างบริสุทธิ์ใจแท้ ๆ" กล่าวพลางตีสีหน้าสลด แต่ยังคงสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าของห้องพัก

รันมารุเหลือบมองหาทางหนีทีไล่แต่ครั้นจะวิ่งหนีออกจากห้องแล้วคืนนี้ตนจะไปพักที่ไหน ก็เหลือทางเดียวคือถีบส่งเจ้าขุนนางสองหน้านี่ออกไปเท่านั้น

               "แกจะออกไปเองหรือจะให้ฉันถีบส่งแกออกไป?" สายตาจ้องเขม็งบ่งบอกว่าไม่ใช่เพียงคำขู่

แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีสะท้ายสะท้านหรือเกรงกลัวแต่อย่างใด ยังคงปั้นยิ้มหลอกลวงอยู่ไม่ยอมหุบ จนกระทั่งก้าวมาอยู่ในระยะใกล้ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน

               "เฮ้ย ฉันเตือนแกแล้วนะเว้ย!" ฝ่ามือยื่นออกไปผลักไหล่อีกฝ่ายให้ถอยออกห่างก่อนจะขยุ้มเสื้อเชิ้ตขาวเตรียมจะเหวี่ยงตัวให้ไปทางประตู

ซึ่งเคานต์หนุ่มก็รู้ทันอยู่ดีจึงอาศัยจังหวะนั้นคว้าข้อมือไว้แล้วออกแรงบีบอย่างแรงกระชากเหวี่ยงให้ไปทางเตียงแทน เล็บคมที่เตรียมจะข่วนเข้าที่หน้าก็โดนสกัดไว้ได้ทัน กดให้แผ่นหลังลงนอนราบก่อนจะคร่อมไว้เหนือตัวเพื่อคุมไม่ให้ต่อต้านได้อีก

               "ดื้อจังเลยนะครับรันมารุ" แกล้งโน้มลงกระซิบชิดใบหูจนร่างเจ้าของชื่อสะดุ้งเพาะจั๊กจี้ เนคไทร์ถูกคลายออกและใช้มัดข้อมือทั้งสองผูกติดไว้กับราวที่หัวเตียงอย่างรวดเร็ว

               "แกเป็นบ้าไปแล้วเรอะ! หยุดทุกอย่างที่คิดจะทำเลยนะโว้ย!" รันมารุตะคอกก่นด่าและยกเท้าขึ้นหมายจะยันเข้าที่ร่างแต่กลายเป็นว่าโดนคว้าไว้แล้วยึดให้ไปชิดกับข้างลำตัวอีกคนเสียอย่างนั้น

กลายเป็นว่าสภาพในตอนนี้เสียเปรียบและตกเป็นเบี้ยอย่างอย่างสมบูรณ์

               "โอะ ทราบหรือครับว่ากระผมจะทำอะไร?" เลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจใส่ ยิ่งชวนยียวนให้ผู้อยู่เบื้องล่างหงุดหงิดกว่าเก่า
รันมารุกัดฟันกรอด ใช้ศีรษะโขกเข้าเต็มที่หน้าผากอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง


               "!! มันจะมากไปแล้วนะเจ้าไพร่!!" ดูท่าจะเจ็บจนต้องหลุดมาด คามิวถลึงตาจ้องและตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงที่มักใช้เป็นปกติต่อหน้าคนในค่าย


               "ที่มากเกินไปมันแกต่างหาก!" เขาเถียงกลับ

               "เจ้าต่างหากที่บังอาจเรียกข้าว่าปิศาจต่อหน้าสาธารณชน!" นัยน์ตาสีน้ำแข็งจ้องอย่างโกรธเคือง ฝ่ามือบีบคางดันให้เชิดหน้าขึ้นจ้อง

               "สาธารณชนบ้าอะไร ในคอมเม้นบล็อกแกเนี่ยนะ?" แม้จะโดนบีบกรามอยู่ก็ยังไม่ยอมแพ้

               "หึ ลงในที่สาธารณะเช่นนั้นก็ไม่ต่างกันหรอก เจ้าโง่!" มือกระชากดึงทึ้งเสื้อจนเม็ดกระดุมหลุด

               "ก็แกมันปิศาจชัด ๆ ไม่ใช่รึไงหา เฮ้ย! เสื้อมันแพงนะว้อย!" สองแขนพยายามดึงให้หลุดออกจากพันธนาการ ส่วนขาก็พยายามจะดิ้นให้หลุดออกจากช่วงเอวอีกฝ่าย

               "อยู่ในสภาพเช่นนี้ยังเถียงคำไม่ตกฟาก เห่าเก่งสมกับที่เป็นสุนัขเสียจริง" คามิวกล่าวและเค่นยิ้ม

               "แต่แกก็เห่าตอบฉันไม่ใช่รึไงกันหา-..." ไม่ทันจะเอ่ยจบดีก็ถูกมืออีกคนเลื่อนมากุมปิดปากไว้เสียก่อน เขาพยายามเบือนหน้าให้หลุดออกแต่ก็ไม่เป็นผล

มืออีกข้างของคามิวเลื่อนลงมาสู่เบื้องล่าง จัดการปลดเข็มขัดและกางเกงออกแล้วร่นลงไปโดยไม่สนใจเสียงท้วงโวยวายของเขา รันมารุแยกเขี้ยวและกัดลงไปเต็ม ๆ บนมือนั่นจนอีกฝ่ายหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บ

               "คุโรซากิ!!" ขุนนางตะคอกอย่างเหลืออดและคว้าท่อนขาทั้งสองข้างชูขึ้นสูงและแยกให้อ้ากว้างออก ปลายนิ้วยาวลากไปตามผิวต้นขาด้านใน

รันมารุเบิกตาโพลงสบถด่าด้วยทุกคำที่นึกขึ้นได้ เขาเกร็งตัวและสะดุ้งยามถูกสัมผัสจากอีกคน สองขาพยายามจะหุบเข้าหากันแต่ก็โดนจับแยกออกทุกครา สลัดเท้าหวังจะให้หลุดจากมือคู่นั้นแต่ก็ไม่เป็นผล

ชิ.. ถ้าหากไม่โดนมัดมือไว้ละก็คงจะสู้ไอ้เคานต์บ้าน้ำตาลนี่ได้สบาย ๆ

สุดท้ายก็เบือนหน้าหลบไปอีกทางด้วยความเจ็บใจ ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อกันไม่ให้หลุดเสียงแปลก ๆ ออกไป

               "โฮ่..เหมือนเจ้าจะไวสัมผัสขึ้นกว่าครั้งก่อนหรือเปล่า?" ประโยคทักชวนอับอายนั่นเอ่ยออกมาเพื่อหวังเยาะเย้ย คามิวลูบไล้ผิวกายจากต้นขาขึ้นไปยังเอวและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ คุโรซากิพยายามขยุกขยิกตัวหลบแต่ก็เผลอแอ่นกายรับสัมผัสอย่างเสียมิได้

               "หุบปาก.." คำรามลอดไรฟันอย่างเจ็บแค้น


ปฏิเสธไม่ได้ไม่ว่าจะครั้งไหน..


               "ร่างกายของเจ้าซื่อตรงกว่าปากเสียจริง" คามิวแตะลงไปตามร่างที่ส่วนใดคุโรซากิก็จะสะดุ้งโหยงพร้อมกับหลุดเสียงน่าอายออกมาราวกับรู้จักร่างกายนี้เป็นอย่างดี

               "ฉันบอกให้แกหุบปากไงเล่า! ฮะ..เขารีบฟุบหน้าลงไปกับหมอนก่อนที่อีกคนจะสังเกตเห็นสีหน้าของตนที่แดงไปจนถึงใบหูเนื่องมาจากความร้อนผ่าวที่แล่นไปทั่วทั้งกาย..รวมทั้งที่สุมอยู่กลางลำตัวนั่น


ลงเอยด้วยแบบนี้ทุกทีสิน่า...


เขาเกร็งตัวยามที่กายร้อนถูกฝ่ามือกอบกุมไว้ ปลายนิ้วลากไปตามความยาวอย่างเชื่องช้าหวังจะให้รู้สึกอึดอัด รันมารุรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการปั่นหัวเขา และอยากให้เป็นผู้เรียกร้องขอสัมผัส เขาเม้มปากแน่นไม่มีทางให้เป็นไม่ตามที่เจ้านั่นหวังเด็ดขาด

               "หลบหน้ากระผมทำไมหรือครับ รันมารุ" น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบแผ่วชิดหูอย่างไม่ทันตั้งตัว ลมหายใจอุ่นรดปะทะข้างผิวหน้า

เขายังคงเงียบไม่ตอบโต้ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

               "อย่าเมินกันสิครับ รันมารุ.." คามิวจงใจเรียกด้วยชื่อจริงอยู่ซ้ำ ๆ พลางมอบสัมผัสปรนเปรอให้จนกระทั่งเริ่มที่จะคล้อยตาม
ชายหนุ่มผมสั้นส่งเสียงครางลงกับหมอนใบนุ่ม เบียดเสียดกายท่อนล่างเข้าชิดลำตัวของอีกคน

               "หึ.." ท่านเคานต์กระหยิ่มยิ้มอย่างพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น

ระหว่างที่กำลังเผลอไผลไปกับสัมผัสจากอีกคนอยู่นั้น จู่ ๆ ฝ่ามือนั่นก็ผละออกไป รันมารุหันใบหน้าออกจากหมอนใบใหญ่เพื่อกลับมามองทันที

คามิวยันตัวห่างออกมา เขาจ้องมองด้วยความสงสัยปนกับความรู้สึกอยากจะด่าเพราะอารมณ์ค้าง แต่แล้วอีกคนก็ไม่ได้ลุกไปไหนไกลเพียงแค่เขยิบตัวเอื้อมมาหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะข้างที่นอน


นัยน์ตาเหลืบอมองตามสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบมา ขวดโลชั่นถูกเปิดออกและราดลงบนตัวของเขา รันมารุสะดุ้งตัวเพราะความเย็นจากของเหลวที่สัมผัสถูกผิว มืออุ่นวางทาบตามลงมาพลางลูบไล้ไปตามตัวและลากลงมายังเบื้องล่าง


               "ทีมงานจองเป็นห้องสวีทคงไม่แปลกที่จะมีของพวกนี้อย่างนั้นสินะ" คามิวพูดพึมพำ


ขาที่ไม่ได้โดนจับยึดไว้เลื่อนมาใช้ฝ่าเท้ายันที่เป้ากางเกงของชายผมยาวในทันที รันมารุขยับยิ้มเยาะใส่ใบหน้าประหลาดใจของเคานต์หนุ่ม ออกแรงขยี้ลงบนเบา ๆ ก่อนจะโดนคว้าข้อเท้าไว้แล้วจับพาดบ่าและตามมาด้วยเสียงด่า

               "กระหายขนาดนั้นเลยรึ? เช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน" คามิวยังคงตีสีหน้าขรึม

               "แกทนไม่ไหวแล้วมากกว่าล่ะเซ่?" เขาเอ่ยต่อปากต่อคำกลับแม้ในตอนนี้ตัวเองแทบจะไม่ต่างกันเลยก็ตามที

นิ้วมือลากวนไปตามรอยแยกแตะลงอย่างอ้อยอิงหมายจะปลุกปั่นให้เจ้าของร่างขาดใจ ซึ่งได้ผลดียิ่งเพราะร่างตัวเริ่มจะเต้นเร้าไปตามสัมผัสครึ่ง ๆ กลาง ๆ นั่น รันมารุส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างไม่สบอารมณ์พร้อมมองค้อนใส่

               "หึ" เคานต์แห่งซิลค์พาเลซขยับยิ้มเย้ยส่งกลับไป


จังหวะที่เขาจะเปิดปากด่านิ้วยาวนั่นก็แทรกเข้ามาในร่างจนหลุดร้องเสียงหลงอย่างกลั้นไม่ทัน ดั่งจงใจกลั่นแกล้ง รันมารุหอบหายใจเกร็งตัวเป็นพัก ๆ ภายในท้องปั่นป่วนแอ่นรับสัมผัสอย่างว่าง่าย แต่เหมือนว่าอีกคนไม่ได้ต้องการให้สุขจนถึงที่สุด ปลายนิ้วกดลงแผ่ว ๆ ยังบริเวณใกล้จุดไวความรู้สึกและถอนออกจนเกือบหลุดออก ค้าง ๆ คา ๆ เช่นนั้นอยู่หลายหน เสียงเฉอะแฉะดังทวีความเขินอายให้มากขึ้น


               "อึก..แกจงใจ..สินะ" เขากัดฟันกรอดจ้อง

               "ข้าเปล่า.." ชายหนุ่มปฏิเสธหน้านิ่งและยังคงทำต่อเช่นเดิม

คุโรซากิเกร็งตัวตอดรัดไว้ไม่ให้ถูกถอนออกไปได้

               "ลึก..กว่านี้" ใบหน้าแดงเอ่ยสั่งด้วยเสียงแหบพร่า

ทว่าอีกคนดันทำตรงกันข้ามด้วยการดึงนิ้วออกไปทันที รันมารุมองแล้วมุ่นคิ้วด้วยความมึนงง

               "เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า เพราะข้าไม่ได้มาเพื่อตามใจเจ้า" คามิวปรายตามองใบหน้าที่กำลังฉงน สองมือจัดการกับกางเกงของตนร่นมันลงมา เสียงฉีกซองทรงสี่เหลี่ยมดังทำให้ผู้ที่นอนหลังพิงเตียงเบือนหน้าหลบไปอีกทางแทน

               "เฮ้ย..อย่าเพิ่ง-..!!" ไม่ทันจะร้องห้ามกายอุ่นก็ดุนดันเข้ามาอย่างไม่รีรอ เขาพยายามเกร็งตัวต้านไว้แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้จนในที่สุดก็ฝืนแทรกผ่านเข้ามาได้สำเร็จ

               "ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า!" เคานต์ซิลค์พาเลซกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมพลางกระแทกเอวเข้าใส่เรียกเสียงร้องจากผู้ไร้ทางต่อต้าน


รันมารุกำหมัดเล็บจนเล็บจิกฝ่ามือเป็นรอย ความรู้สึกพ่ายแพ้ชวนให้เจ็บใจนัก ร่างไหวไปตามจังหวะที่อีกฝ่ายเคลื่อนกายเข้าหา เสียงขาเตียงเอียดออดดังไปตามจังหวะนั้น อุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงจนหยาดเหงื่อชื้นหยดลงบนผ้าปูเตียง


เสียงครางต่ำดังแว่วมาจากชายผมยาว นัยน์ตาคู่นั้นหรี่จ้องมองพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตน มือออกแรงบีบที่สะโพกเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ลากร่างของคุโรซากิเข้าชิดตัวรองรับกายตนให้ถลำลึกเข้าไปจนสุด


เขาซุกซ่อนใบหน้าหลบกับหมอนใบใหญ่อีกครั้ง ขยับร่างแอ่นรับสัมผัสอย่างลืมอาย แต่แล้วก็ไม่มีทางจะเป็นดั่งใจนึกเสียเท่าไหร่เมื่อความสุขถูกขัดขวางอีกครั้ง ฝ่ามือเลื่อนมากุมยังส่วนอ่อนไหวและออกแรงบีบเบา ๆ ยังส่วนยอด แต่กระนั้นแล้วอีกฝ่ายยังคงสาวกายอยู่ต่อเนื่อง


               "ป-ปล่อยนะว้อย!" เขาส่งสียงโวยวายใส่และดิ้นไปมา ความร้อนที่จุกอยู่กลางลำตัวถูกปิดกั้นไม่ให้ได้ระบายออก


คามิวทำเป็นไม่สนใจและกระแทกกายเข้าหาด้วยสัมผัสที่รุนแรงขึ้น เขาสะดุ้งตัวโหยงครางออกมาลั่น


               "ดูท่าเจ้าจะชอบให้ข้าทำแบบรุนแรงจริง ๆ สินะ" กล่าวและยกขาข้างหนึ่งให้ชูขึ้นสูงกว่าเก่าจนร่างแทบจะลอยขึ้นจากเบาะเตียง ถอยตัวออกมาจนเกือบจะแยกจากและดันกลับเข้าไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

คามิวปิดตาลงครางในลำคอขณะที่ปลดปล่อย ค้างกายไว้พักหนึ่งก่อนจะถอนออกมา แต่ฝ่ามือยังไม่ผละออกจากอีกฝ่าย

               "เหมือนเจ้าจะไม่พอใจ? หรือต้องการให้ข้าปลดปล่อยในตัวเจ้า?" ถามอย่างจงใจกวนคนหน้าหงิกงอทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่พอใจเพราะเหตุใด

               "ไอ้เคานต์บัดซบ.. หัวสาหร่ายเอ้ย..." ก่นด่าวสารพัดใส่เพราะไม่สามารถจะทำอะไรอย่างอื่นได้

               "เจ้าเป็นฝ่ายถูกลงโทษ พูดกับข้าดี ๆ คุโรซากิ" คามิวเอ่ยน้ำเสียงนิ่ง จ้องสายตาคู่ที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ

               "ฝันไปซะเหอะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!" รันมารุใช้เท้ายันเข้าที่หน้าอีกฝ่ายทันที แต่ถูกหลบได้ทันจึงเฉียดโดนเพียงปลายคาง

คามิวถลึงตาจ้องพร้อมทั้งยอมปล่อยมือออก ในที่สุดสิ่งที่อัดอั้นมานานก็ได้ปลดปล่อยออกมา ของเหลวเหนียวเหนอะเปรอะเต็มหน้าท้องและต้นขา สัมผัสเย็นของบางสิ่งถูกเหวี่ยงลงตกบนกล้ามท้อง

เขาเบิกตากว้างมองสิ่งที่ถูกทิ้งลงบนตัวแล้วตวาดด่าเจ้าของ

               "เอาไปทิ้งในถังขยะสิวะ!!" จำเป็นจะต้องอยู่เฉย ๆ เพราะไม่อย่างนั้นอะไรที่อยู่ข้างในนั้นมันจะไหลออกมาเลอะกว่าเดิม
คนโดนตะคอกใส่ไม่ใส่ใจและยันกายลุกขึ้นจากเตียง จัดการสวมกางเกงจัดเสื้อผ้าตนให้เรียบร้อยทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง

               "เฮ้ย แก้มัดฉันก่อนสิว้อย!" สองแขนพยายามดึงและจิกเล็บแก้มัดแต่ก็ไม่ยอมหลุด มองแผ่นหลังอย่างหวาด ๆ ว่าจะเดินออกไปแล้วทิ้งตนไว้ในสภาพนี้จริง ๆ

               "เจ้าจะแหกปากลั่นให้คนอื่นมาเห็นสภาพนี้ก็ตามใจ" คามิวทำหน้าคล้ายรำคาญเสียงตะโกนโหวกเหวกนั่น

               "ชิ.. แกก็รีบมาแก้มัดฉันก่อนจะไปสิฟะ" รันมารุเดาะปากอย่างจัดใจและยอมลดเสียงลง แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังกอดอกยืนมองอยู่เฉย ๆ


               "ขอร้องข้าดี ๆ เสียสิ" จ้องมาด้วยสายตาเป็นต่อ


รันมารุเม้มปากอยู่นานอย่างแค้นใจ


               "...ปล่อยฉันที..คามิว" จำใจเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบา ๆ แล้วหลบตามองไปทางอื่น


               "หึ.." เคานต์หนุ่มหรี่ตามองก่อนจะยอมเดินมาเพื่อแก้มัดออกให้


ขณะทิ้งเข่าลงบนเตียงและแกะปมเนคไทร์อยู่นั้น จังหวะที่คลายออกมือที่เป็นอิสระก็กระชากคอเสื้อแล้วจับกดร่างชายตัวสูงลงไปนอนอยู่เบื้องล่างแทน

รันมารถเขยิบตัวขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างแสยะยิ้มใส่โน้มศีรษะลงไปหา ข้อมือทั้งสองเป็นรอยแดงตามแนวที่โดนมัด ฝ่ามือดึงทึ้งเส้นผมบลอนซ์อย่างแรงจ้องตาคู่สีน้ำแข็งนั่น


               "เจ้าคิดจะทำอะไร?" เคานต์พยายามไม่แสดงความตื่นตระหนกออกทางสีหน้า


กลีบปากเลื่อนลงมาแนบชิดก่อนจะบดจูบใส่ ชายผมยาวเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างประหลาดใจแต่ก็ตอบรับสัมผัสนั่นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน รันมารุแสยะแยกเขี้ยวแล้วกัดลงอย่างแรงจนถูกผลักหัวออก

               "เจ้าหมาไพร่!!" ตวาดใส่อย่างโมโหพลางซับเลือดที่ซึมออกมาจากริมฝีปากตน มือหนึ่งบีบเข้าที่เอวเปลือยจนเป็นรอยนิ้ว เลื่อนให้บั้นท้ายคร่อมอยู่บนหน้าท้องตน

คุโรซากิใช้นิ้วหัวแม่โป้งปาดหยดเลือดที่เลอะมุมปากก่อนจะแลบลิ้นเลีย ขยับร่างเสียดสีไปบนตัวอีกฝ่ายราวกับจะเรียกร้อง

               "ติดสัดรึ?" มองแคลนใส่ผู้ที่กำลังยั่วยวนอยู่เหนือตัว

นัยน์ตาคู่สองสีสบกลับพร้อมทั้งบึ้งหน้าใส่

               "แกก็ไม่ต่างกันหรอกน่า" รันมารุย้อนพลางถอยตัวไปดันสิ่งที่กำลังตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เอื้อมมือไปด้านหลังและสัมผัสแผ่ว ๆ กระตุกยิ้มออกมายามเห็นหน้าขึ้นสีจาง ๆ  ของอีกฝ่ายที่กำลังกัดฟัน

               "คุโรซากิ.." คามิวคำรามในลำคอเรียกชื่อ เลื่อนมือลงไปยังสะโพกแล้วบีบคลึง

รันมารุใช้เข่ายันร่างให้ยกสูงขึ้นอยู่เหนือส่วนนั้น ประคองไว้หลวม ๆ ด้วยฝ่ามือตัวเอง สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเตรียมใจ แต่ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายกดสะโพกให้ลงมาอย่างรวดเร็วจนแทบจุก

               "!!" เกร็งร่างตอดรัดไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาได้มากกว่านี้

เข่าทั้งสองข้างของคุโรซากิสั่นจนแทบพยุงร่างไว้ไม่ไหว สุดท้ายก็เอนตัวลงใช้ฝ่ามือยันไว้บนต้นแขนอีกฝ่ายแทน คามิวถอนหายใจพลางจับบั้นท้ายแล้วแหวกออกเพื่อให้รองรับกายเข้าไป ใบหน้าขึ้นสีจัดรีบซุกลงข้างบ่าแล้วอ้าปากขบเขี้ยวลงทันทีเพื่อกลั้นเสียงร้องคราง

ความเจ็บแปลบแล่นจากต้นแขนจนเคานต์หนุ่มนิ่วหน้าแต่ก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไร รออยู่ครู่ใหญ่จึงยอมหยุดเกร็ง สะโพกเริ่มเคลื่อนเองโดยที่มีอีกคนช่วยคุมจังหวะให้

ปากที่ผละออกมาทิ้งรอยฟันไว้เด่นชัด ก่อนจะย้ายมากัดที่ต้นคอขณะเร่งจังหวะการขยับตัว

               "ต้องการข้ามากถึงเพียงนี้เลยรึ?" เอ่ยกระซิบหยอกข้างใบหูแดง ๆ

               "หนวกหู..." ส่งเสียงเถียงพึมพำตอบกลับมาพลางจิกเล็บลงบนแขน


ครั้งสองครั้ง..มากี่รอบแล้วกับสัมผัสจากร่างกายนี้


               มือเลื่อนมาขยุ้มเรือนผมสีบลอนซ์ทองดันใบหน้าให้หันมารับจูบ ขุนนางหนุ่มหรี่ตามองเผยอริมฝีปากออกจูบตอบแล้วแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปาก คาวหวานปะปนกันไปหมด เขาไม่ได้ชอบออกจะชิงชังเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่อาจหยุดที่จะโหยหาได้

               ร่างกระตุกเกร็งยามที่ถึงจุดหมายเปรอะรดลงบนกายอีกฝ่าย ความอุ่นร้อนถูกเติมเต็มอยู่ในกายในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน รันมารุผละจูบออกมาหอบหายใจแล้วรีบลุกขึ้นออกจากร่างของขุนนางสูงศักดิ์ ของเหลวล้นไหลย้อนออกมาตามแรงโน้มถ่วงเป็นทางตามแนวต้นขา

ข้อมือถูกคว้าไว้แล้วดึงให้ลงไปนอนข้างกายเคานต์หนุ่ม แววตาที่ปรายมองมาของคามิวยากที่จะคาดเดาความรู้สึก


               "กลับห้องแกไปซะ" รันมารุเอ่ยไล่


               "เจ้าไม่มีสิทธิ์จะสั่งข้า ข้าจะนอนที่ใดก็เรื่องของข้า"


หน้าด้าน.. รันมารุอยากจะด่าคำนี้ใส่หน้าหนา ๆ นั่นแหละเหลือเกิน แต่คงไม่สะทกสะท้าน


               "แต่นี่มันห้องฉันว้อย" ว่าพลางใช้มือยันหน้าที่ใกล้กันจนเกินไปให้ห่างออก

คามิวปัดมือเขาออกแล้วยอมเขยิบตัวออกไป

               "นี่คือห้องของโรงแรม ไม่ใช่ห้องเจ้า" เจ้าตัวกล่าวหน้านิ่ง

เป็นเหตุผลที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน ถึงกับไม่รู้จะตอกกลับว่าอย่างไร

               "ชิ.." เหนื่อยที่จะต่อปากต่อคำ เขาจึงเลือกจะตะแคงหน้าหลบไปอีกฝั่งแทนแล้วแย่งผ้าห่มมาฝั่งตัวเองจนหมด

               "เจ้า!" เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจจึงรีบดึงผ้าห่มกลับมาคลุมตัว


จากสงครามวาทะกลายมาเป็นสงครามแย่งผ้าห่มเสียแทน ยื้อแย่งไปมาจนสุดท้ายก็ลงเอยที่โนรวบตัวให้เข้าไปชิดร่างแล้วใช้ผ้าพันม้วนเป็นดักแด้จนขยับไม่ได้



ทั้งคู่ไม่ได้หลับแต่ต่างเงียบกริบ แต่ละคนต่างมีสิ่งที่อยากเอ่ย และต่างรู้ดีว่าคืออะไร ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดออกมาเสียที



               "คุโรซากิ" คามิวเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน


เจ้าของนามหวั่นใจขึ้นมาแต่ยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่ได้พูดตอบกลับ


               "หลับไปแล้วอย่างนั้นรึ.." เพราะถูกหันหลังให้จึงไม่รู้ว่าหลับไปแล้วหรือยัง เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบกลับขุนนางหนุ่มจึงไม่ได้พูดต่อ


ในเมื่ออีกคนคิดว่าเขาหลับไปแล้วจึงเลือกที่จะปล่อยไปเลยตามเลยและข่มตาลงหลับ




ความสัมพันธ์ประหลาดนี่...


จุดเริ่มก็ไม่รู้


จุดจบก็เช่นกัน




-END-






7.10.2559

[รีวิว Novel] NEZ by Yuuri Eda (BL)


Warning: Boy's Love


วันนี้จะมาขอรีวิวนิยายที่เพิ่งได้อ่านแบบรวดเดียวเพราะวางไม่ลง
ขอบอกก่อนว่า งานดีมากกกกกก (สำหรับเรา)

หลายคนน่าจะคุ้นชื่อหรือเคยเห็นมาบ้างเลยกับเรื่อง NEZ (อ่านว่า เน เป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ)
ผู้เขียน Yuuri Eda / ภาพประกอบ KIYO KOMIZU
อยากจะเขียนทันทีที่อ่านจบแต่ก็งานเข้ารัว ๆ เพราะช่วงนี้มีฝึกงาน ฮือ

เข้าเรื่องดีกว่า

NEZ เป็นนิยายมี 4 เล่มจบค่ะ ตอนนี้มี LC โดย BLY (ของบงกช) แปลออกมาแล้ว 3 เล่ม
ตามดูรายละเอียดแต่ละเล่มได้ที่นี่ > http://www.bongkoch.com/catalog/advanced_search_result.php?keywords=Yuuri+Eda&search_in_description=1&x=39&y=18&alphabetorder=&products_status=&categories_id=&inc_subcat=1&manufacturers_id=&pfrom=&pto=&dfrom=&dto=

หน้าตาปกแต่ละเล่ม


จะไม่มีเลขเล่มเขียนบอกนะคะ แต่จะเป็นชื่อห้อยต่อท้ายแทน
เล่ม 1 NEZ
เล่ม 2 NEZ - Sweet Smell
เล่ม 3 NEZ - Sweet and Memory
เล่ม 4 NEZ - Your lovely smell

ซึ่งชื่อห้อยท้ายเนี่ยก็ค่อนข้างเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในเล่มอยู่นะคะ /บอกไว้แค่นี้เดี๋ยวสปอยล์

ซึ่งตอนเห็นปกกับอ่านคำโปรยหลังเล่มเนี่ยขอบอกเลยว่าถูกโฉลกเรามากก เพราะเราค่อนข้างชอบเสะ-เคะสไตล์แบบนี้


เป็นเรื่องเกี่ยวกับบริษัทหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบ "ความเข้ากัน" ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคู่หมั้น คู่รัก พนักงานบริษัท โดยเริ่มเรื่องที่พระเอก 'ทาคาเมะ คิซาชิ' ผู้ที่มีบุคลิกเจ้าระเบียบ อนามัยจัด ออกแนว Perfectionist และยังมีความสามรถในการสังเกตที่ดีมาก ๆ ถึงจะอยากนั้นแต่กลับชอบพูดจาขวานผ่าซากและตรงจนเกินไปแบบไม่ดูหรือสนใจบรรยากาศเลย เข้ามาเพื่อสัมภาษณ์งาน
และต้องทำงานร่วมกับคู่หู ซึ่งก็คือนายเอก 'สึบาคุระ จิริ' ผู้มีบุคลิกตรงกันข้ามเรียกได้ว่านิสัยคนละขั้ว ทั้งซกมก ไร้ระเบียบ ทำตัวทีเล่นทีจริง สเปคสาว ๆ คือคัพ D ขึ้นไป แต่มีความสามารถพิเศษเกี่ยวกับ "จมูก" ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่องค่ะ

น่าแปลกที่บริษัทตรวจสอบความเข้ากันดันมีพนักงานที่"ดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย"
เพราะทาคาเมะกับจิริทะเลาะกันได้เกือบตลอด เรียกได้ว่ากัดกันเหมือนหมาเลยค่ะ 5555
โดยส่วนมากจะเริ่มที่จิริออกแนวกวนซะก่อนจนโดนทาคาเมะด่า แต่หลาย ๆ ครั้งจิริก็จะหูทวนลมไม่ได้สนใจกับคำด่า(ที่เป็นจริง) ทำให้ทั้งคู่เลยยังร่วมงานกันได้อยู่ ไม่ได้ถึงกับเกลียดกันจนอยู่ร่วมกันไม่ได้

และความสามารถพิเศษของจิริที่ใช้ในการทำงานคือ "จมูก" สำหรับดมกลิ่น จิริมีจมูกที่ดีมาก ๆ

จบการเกริ่นไว้เท่านี้ ต่อไปจะเริ่มเข้าส่วนของเนื้อเรื่อง จะพยายามสปอยล์ให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เสียอรรถรสนะคะ

ทาคาเมะที่เพิ่งเปิดตัวในเรื่องตอนแรกและเข้าบริษัทก็ไม่ได้ปกปิดตัวเองว่าที่จริงแล้วเป็นเกย์กับประธานบริษัท ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร และประธานก็ยังยืนยันแม้จะรับรู้นิสัยของทาคาเมะแล้วว่าต้องเป็นคู่หูที่ดีกับจิริได้แน่นอน

ทาคาเมะก็ค่อนข้างแปลกใจบ้างเพราะที่ผ่านมาไม่เคยเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เท่าไหร่เนื่องจากเป็นคนที่รู้สึกเช่นไรก็จะตอบออกมาตรง ๆ แบบไม่กั๊กและไม่คิดที่จะโกหก
แต่ทว่า.. การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่ค่อนข้างไม่ค่อยน่าอภิรมณ์เท่าไหร่ ทาคาเมะพบกับจิริในสภาพที่เห็นแล้วต้องรู้สึกอยากจะด่ารัว ๆ 55555555555 ถึงอย่างนั้นจิริก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วก็บอกว่าให้เริ่มงานแรกเลยเพื่อทดสอบความสามารถการสังเกตของทาคาเมะ
งานนี้สภาพร่างกายของจิริไม่พร้อมที่จะใช้ทำงานเท่าไหร่ เลยโยนให้ทาคาเมะจัดการทั้งหมดแต่ตัวเองก็ไปด้วย
ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง...จมูกของจิริกลับมาเป็นปกติและได้กลิ่นของทาคาเมะเข้า
จิริจึงตะโกนไล่ทาคาเมะทันทีด้วยคำว่า "เหม็น" ทำให้ทาคาเมะตกใจมากเพราะตัวเองเป็นคนรักสะอาดสุด ๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมาทั้งคู่ก็ต้องเดินห่างกันทิ้งระยะอย่างน้อยเป็นเมตร...


การดำเนินเรื่องเราว่ากำลังดีเลยค่ะ ชอบสภาพค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปและเห็นการพัฒนาด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ ซึ่งเราว่ามีกิมมิคที่ปกอยู่เหมือนกันจากเล่ม 1 2 3 4 จะเห็นได้ว่าทั้งสองคนค่อย ๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเล่ม 4 ปกนี่แอบอันตรายเลยค่ะ ฮา
ส่วนภาพประกอบด้านในแต่ละเล่มบอกเลยว่า แซ่บมากกกกกกกกกกกกกกกก ตอนเราเปิดมานี่แอบร้อง อูว... คงวางทิ้งไว้บนโต๊ะในบ้านไม่ได้ ต้องเก็บ 555

นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างเดียวแต่เรื่องของงานที่ออกจะเป็นแนวสืบสวนก็มีเยอะเหมือนกัน เรียกได้ว่าดำเนินโครงเรื่องหลักเป็นการทำงานและเริ่มเผยปมของเรื่องออกมาในแต่ละเล่ม และก็ยังทิ้งปริศนาไว้ให้ลุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยค่ะ
แต่ฉากเลิฟ ๆ ก็ยังมีนะ เฉลี่ยตกเล่มละ 1-2 ฉาก (ฟฟฟฟฟฟฟ) ซึ่งงานดีอีกเช่นกันค่ะ รู้สึกเขินมากกกกก


*ต่อไปนี้เข้าข่ายสปอยล์นะคะ
ทาคาเมะเนี่ยจากตอนแรก ๆ เป็นพวกเจ้าระเบียบ ดูน่ากลัว และเป็นพวกที่ต้องการเหตุผลมารองรับในทุกสิ่งอย่าง แต่พอเจอกับจิริก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนกระทั่งตัวเองก็สับสนว่าทำไม แถมตอนฉากเลิฟ ๆ นี่แบบอย่างกะคนละคนนนนนนนนนนนน โอยยยยยยยยยยยยยยย ทาคาเมะผู้อ่อนโยนนนนนน
ส่วนจิริเองก็สับสนตัวเองไม่แพ้กันแหละและเริ่มหงุดหงิดตัวเอง ถึงเปิดตัวมาด้วยคราบหนุ่มขี้เล่นเจ้าชู้ดูไม่เป็นการเป็นงานเท่าไหร่ แต่มุมน่ารัก ๆ ก็มี ถึงจะบอกว่าจิริดูเป็นเพลย์บอยแต่ก็ไม่เชิง เรารู้สึกเหมือนน้องหมาขี้เหงาและหิวนมมากกว่าค่ะ 555 ดูเป็นคนที่ยังมีนิสัยของเด็ก ๆ พยายามทำตัวสบาย ๆ
เป็นคู่ที่สับสนตัวเองไปพร้อม ๆ กันค่ะ ถึงจะดูเหมือนว่าน่าจะเกลียดกันนะก็กัดกันบ่อยขนาดนี้แต่ก็ตัดกันไม่ขาดเพราะร่างกายเข้ากันได้ดี......นั่นแหละ
สาเหตุจริง ๆ ก็เริ่มมาจากความจมูกดีของจิรินั่นแหละค่ะ ฟฟฟฟ (บอกแค่นี้)

หลัก ๆ ที่เขียนเอาไว้นี่จะเป็นเรื่องในเล่ม 1 นะคะ

พออ่านจบเล่ม 3 ต้องโวยวายว่า เอาเล่ม 4 มาเดี๋ยวนี้นะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ


ขอจบการรีวิวไว้เท่านี้นะคะ เพราะที่เหลือถ้าจะเล่าคงยาวเกินไปและคงต้องสปอยล์ไปมากกว่านี้ ซึ่งเราเชียร์ให้ซื้อมาอ่านเองดีกว่าค่ะ เพราะทั้งการบรรยาย จังหวะเรื่อง การโฟลวเรื่องที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ควรให้ลองอ่านด้วยตัวเองเราว่าถึงจะสนุกค่ะ


- โอนิ

5.25.2559

[AU Fic Utapri] ♥Kill game♠ [Ren x Masato x Camus] [4]

Fan-fiction Utapri

Title :
 
Kill game
Pairing(?) : Ren x Masato x Camus
Warning : 3P!! , AU, อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจอะไรทั้งสิ้น
Rate : 15+

Note : ย้ำอีกครั้งแฟนฟิคนี้อิงธีมจาก Joker trap , ยังไม่ถึงปีซะหน่อยน่า...
ตอนเก่า : [1] [2] [3]


Ch.4


               ฮิจิริคาวะมองภาพร่างทั้งสองที่นอนคร่อมกันอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่สับสนปนกันไปหมด เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แล้วการกระทำเมื่อครู่ของทั้งคู่ที่เขาเห็นนั้นมีความหมายว่าอย่างไร นัยน์ตาสีอเมทิสต์กะพริบมองอยู่หลายวินาทีก่อนจะหลบตาไปและทำท่าจะก้าวเดินหลบไปทางอื่น

รอยยิ้มแฝงเลศนัยถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของบุรุษที่มีแววตาเจ้าเล่ห์เมื่อฮิจิริคาวะหมุนตัวหันหลังให้แล้วตรงกลับไปที่ห้อง

               จริงสิบารอน รู้รึเปล่าว่าฮิจิริคาวะน่ะนะ..ระดับเสียงของจินงูจิจงใจเอ่ยให้ดังมากพอที่จะไปถึงโสตประสาทของผู้ที่อยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้ผู้ที่มีชื่ออยู่ในประโยคสนทนาต้องรีบหันกลับมามองดั่งที่คาด

เขาปรายตามองไปที่จินงูจิที่กำลังขยับยิ้มมาหา เพียงเท่านั้นความกระสับกระส่ายก็ก่อตัวขึ้นมาคล้ายคนมีความผิดที่กลัวจะถูกเปิดโปง

หมอนั่น..คงไม่คิดที่จะพูดเรื่องนั้น..ใช่หรือเปล่า

               ก่อนหน้านี้วันที่บารอนไม่อยู่..-ประโยคขึ้นต้นน่าจะกระตุกความหวาดกลัวในเรื่องที่เจ้าตัวต้องการปกปิดได้เป็นอย่างดี

               จินงูจิ!!” เขาเผลอขึ้นเสียงเพื่อแทรกไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ กว่าจะรู้ตัวตนเองก็กลายเป็นจุดสนใจจากสายตาทั้งสองคู่ที่โซฟานั่นเสียแล้ว

               นาย..ทำเสียงดังจนฉันตื่น ไร้มารยาท..นับว่าเป็นการเบี่ยงประเด็นได้แย่สุด ๆ และทำให้เรื่องแย่ยิ่งกว่าเก่าเพราะฝ่ายที่ถูกโบ้ยความผิดนั่นลุกเดินมาทางเขา

               เห..นั่นสินะฉันผิดเองแหละ~” น้ำเสียงยียวนนั่นทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ชอบมาพากล จินงูจิวาดยิ้มมุมปากแล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงค่อย

               คิดว่าฉันจะพูดเรื่องนั้นหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก..มันเป็นความลับระหว่างเรานี่นาฝ่ามือช้อนไว้ที่หลังศีรษะก่อนจะออกแรงกดให้ก้มลงเล็กน้อยจนหน้าผากซบกับไหล่กว้าง

ใจจริงอยากจะผลักออกไปให้อยู่ห่างตัว แต่ก็กลัวว่าอีกคนนั้นจะเปลี่ยนใจเรื่อง ความลับที่ว่านั่น เขาจึงได้แต่บึ้งหน้าแสดงความไม่พอใจแล้วใช้มือดันให้ใบหน้าตนเองผละออกมา

               จะใช้เป็นข้อต่อรองกับฉันล่ะสิ?เขาพูดด้วยเสียงเบาเพื่อไม่ให้คุณคามิวได้ยิน

               ฉันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่าเพราะลักษณะเนื้อเสียงที่เจ้าตัวใช้เป็นปกติค่อนข้างจะตีความได้ยากอยู่แล้วจึงจับไม่ได้ว่ากำลังพูดจริงหรือหลอกลวง

แม้ว่าจะจินงูจิจะดูไม่มีความน่าเชื่อถือเลยก็ตาม แต่เขาก็พยายามที่จะ หวังว่าเจ้าตัวจะรักษาคำพูด


               เจ้าสองคนมีเรื่องอะไรกัน ?เนื่องจากถูกมองข้ามมานานชายหนุ่มผมบลอนซ์จึงจำเป็นจะต้องเอ่ยขัดจังหวะให้รับรู้การมีตัวตนของตน

ฮิจิริคาวะเขยิบตัวมายืนห่าง ๆ จินงูจิพลางก้มหน้าเพราะนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรออกไปแทนเรื่องเมื่อครู่ดี เขาได้แต่ส่งสายตาไปให้คนข้าง ๆ ที่น่าจะสามารถนึกเรื่องกลบเกลื่อนได้ดี

               ฉันแค่จะบอกว่าเมื่อวานฮิจิริคาวะทำอาหารให้ด้วยล่ะ ฝีมือก็ใช้ได้เลยนะ~” เจ้าตัวก็พูดได้ลื่นไหลไม่สะดุดใด ๆ ตามที่คิดไว้จริง ๆ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคิดได้ว่าหรืออันที่จริงแล้วหมอนี่ตั้งใจจะแกล้งเขาให้ร้อนตัวตั้งแต่ทีแรก คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกหน้าเสียขึ้นมาทันทีที่เผลอโผล่งออกไปแบบนั้น

               หึ..เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วถึงจุดประสงค์จะเป็นการประกาศว่ารู้ข้อมูลในส่วนนั้นดีอยู่แล้วไม่ต้องบอกให้ทราบอีกก็ตาม แต่กระนั้นก็ทำให้ย้อนนึกไปถึงช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้ลิ้มรสฝีมือการทำขนมหรืออาหารที่คนตรงหน้ามักจะนำมาฝากอยู่เสมอ คามิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปชั่ววูบก่อนจะกลับมาตีหน้าถมึงทึงตามเดิม

โดยที่อาจจะไม่รู้เลยว่าฮิจิริคาวะเองก็กำลังย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนแววตาที่สลดลง แต่เหมือนว่าจะมีอีกคนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว

               ไม่ง่วงแล้วงั้นหรอฮิจิริคาวะ ? ถ้าอย่างนั้นให้ฉันพากลับไปนอนดีมั้ยจินงูจิเอ่ยหยอกคนข้าง ๆ เพื่อทำลายความเงียบเชียบเมื่อครู่

เขาไม่ได้เงยมองหน้าอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ากำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเช่นไร และเขาก็ไม่อยากจะเห็นเช่นกัน อันที่จริงไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าของทั้งสองคนอีกแล้ว อยากจะไปให้พ้น ๆ จากที่นี่ตอนนี้ได้ยิ่งดี

               เมื่อไหร่พวกนายจะปล่อยฉันไปซะทีเขากำหมัดไว้แน่นขณะพูดถาม แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะ
จินงูจิถอนหายใจยาวคล้ายเบื่อหน่ายกับคำถามที่มักถามอยู่ซ้ำ ๆ นั่น

               ฉันก็บอกนายไปแล้ว..”

               “ฉันก็บอกไปแล้วเหมือนกันว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!!”

ฮิจิริคาวะตะคอกใส่อย่างเหลืออดก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเข้าไปในห้องให้ไวที่สุดที่จะทำได้ เขากระแทกปิดบานประตูเสียงดังจนกำแพงรอบข้างสั่นไปด้วย



นี่มันบ้าชัด ๆ ทำไมเขาจะต้องมาทนกับเรื่องงี่เง่านี่ด้วย





               เป็นอีกคืนที่ไม่ได้ต่างจากคืนอื่น ๆ เลย เขาไม่สามารถข่มตาลงหลับได้อย่างสนิท เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้นอนพักเลย ใครจะไปหลับลงทั้งที่มีเรื่องมากมายก่อกวนจิตใจแบบนี้กัน แต่ก็ยังดีกว่ามีคนมาเฝ้าในห้อง ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจยามที่มองเห็นสิ่งที่ถูกวางไว้ที่ปลายเตียง

ยูคาตะสีพื้นกรมท่าและชั้นในถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย อันที่จริงถ้าไม่นับเสื้อคลุมที่ได้มาจากคุณคามิวเขาตัวเองก็ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นใดเลยที่จะใช้ปกปิดร่างกาย อย่างน้อยสองคนนั้นก็ยังมีความเห็นใจอยู่บ้างที่หาชุดมาให้เขาใส่

ฮิจิริคาวะถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งออกแล้วลงไปยืนที่พื้นเพื่อหยิบชุดขึ้นมาสวม สายโอบิถูกผูกไว้เป็นปมที่ข้างหลังด้วยความคล่องแคล่ว
แต่ก็ชวนน่าประหลาดใจอยู่บ้างที่เป็นยูคาตะที่เขามักจะสวมเวลาอยู่บ้าน ทำไมถึงไม่เอาเสื้อทั่วไปมาให้เขากันล่ะ ..ถึงจะติดใจไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี

จะว่าไปแล้ว..จะยังอยู่ทั้งสองคนเลยหรือเปล่านะ ถึงไม่อยากจะออกไปเจอหน้าแต่ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้วเลย ไหนจะที่นอนร้องจนคอแห้งอีก


สุดท้ายก็ต้องจำใจออกไป ขณะหมุนลูกบิดประตูเขาได้แต่ภาวนาว่ากลับไปแล้วสักคนก็ยังดี เมื่อแง้มบานประตูแล้วชะเง้อออกไปก็ต้องผิดหวังตามคาด เงาของร่างสูงสองคนยืนอยู่ไม่ห่างมากขึ้นจากห้องนอน แต่เหมือนทั้งคู่จะไม่ได้สังเกตว่าเขาออกมาจากห้องเพราะกำลังยืนคุยบางอย่างที่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญกันอยู่

และนั่นก็ทำให้เขาอยากที่จะได้ยิน..เพราะอาจจะเกี่ยวกับเขาก็ได้

ฮิจิริคาวะค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปให้อยู่ในระยะที่จะได้ยินเสียงแล้วอาศัยหลบที่หัวมุมกำแพงเพื่อแอบฟัง ทั้งคู่ไม่ได้ใช้เสียงที่ดังมากแต่ก็ไม่ถึงขั้นกระซิบกระซาบจนไม่ได้ยิน

               แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเองน่า.. เห็นบารอนสนใจจน.....

               “ไร้สาระ.. ข้าเพียง........เพื่อภารกิจ......ไม่พลาด

เขาได้ยินเพียงบทสนทนาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

               ...ข้อมูลใหม่ที่ข้า........ เจ้านั่นอาจจะ...... ก็ได้...

               “เห... ถือว่าน่าสนใจเลยนะ

นัยน์ตาคู่อเมทิสต์เบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยินแม้จะไม่ครบแต่ก็ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเรื่องของเขาอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งอยากจะได้ยินทั้งหมด ฮิจิริคาวะพยายามเขยิบตัวแล้วชะเง้อศีรษะไปให้ใกล้มากขึ้น


               น่าสนใจจนเจ้าตัวต้องตื่นมาแอบฟังเองเลยล่ะ


ฮิจิริคาวะตัวแข็งทื่อในทันทีเมื่อโดนจับได้ เขาค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองหน้าทั้งสองคนที่หันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว สีหน้าของทั้งคู่เขาเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

จินงูจิยังคงยิ้มทำหน้ากะล่อนตามปกติ ส่วนคามิวมีสีหน้าบึ้งตึงดั่งเช่นทุกครั้ง

ลำคอที่แห้งผากอยู่แล้วพยายามกลืนน้ำลายเหนียวลงไป คนสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจก้าวเท้าเดินสาวเข้าไปหาด้วยตัวเองแทนที่จะหนี

               กำลังพูดถึงฉันกันอยู่ใช่หรือเปล่าฮิจิริคาวะเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งแล้วช้อนมองด้วยสายตาจริงจัง

               หากใช่แล้วเจ้าจะทำไมรึ ? คามิวเปรยตามองแล้วตั้งคำถามกลับ

แม้ว่าสายตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความกดดันแต่ก็ไม่ทำให้เขาถอยได้หรอก

               ผมก็ต้องการที่จะรู้น่ะสิครับเขาจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

               แล้วถ้าข้าเลือกที่จะไม่บอกเล่า ? อความารีนจิกลงจ้องอย่างเชอดเฉือน ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบเป็นปมพลางเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงไม่กี่คืบ

บรรยากาศอึมครึมเริ่มเข้าปกคลุมจนห้อง ฮิจิริคาวะจ้องสายตาเย็นชาคู่นั้นอย่างไม่วางตา

               ไม่เอาน่าบารอน~ เลิกแกล้งหมอนี่ซะทีเถอะจินงูจิเอ่ยพลางเดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งคู่เพื่อทะลายความอึดอัดที่กำลังก่อตัวขึ้น ชายหน้าทะเล้นยกแขนขึ้นคล้องไว้บนไหล่ของคนหน้าทะมึนแล้วดึงพาตัวให้ถอยออกห่างจากชายผมสั้น

คามิวส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดทำสงครามประสาทกับฮิจิริคาวะ เร็นเหล่มองผู้ที่ยืนกำหมัดจนมือสั่นพลางถอนหายใจ

               นายท่าจะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ฉันทำมื้อเช้าเผื่อไว้อยู่บนโต๊ะน่ะถือว่าตอบแทนคราวก่อนที่จริงแล้วก็กะจะไปเรียกที่ห้องนอนหลังจากที่คุยธุระกันเสร็จแต่ว่าเจ้าตัวดันตื่นก่อนเสียได้

               ถ้านายอยากจะตอบแทนอะไรฉันก็ปล่อยฉันไปซะสิ ฉันจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับเรื่องบ้า ๆ แบบนี้!” เขาหันไปตวาดใส่เสียงกร้าวด้วยความเหลืออด ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง

               อยู่ ๆ ก็มาทำดีด้วย คิดว่านั่นจะทำให้ฉันลืมเรื่องเลวทรามก่อนหน้านี้ได้งั้นหรอ!!” ฮิจิริคาวะถลาตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อของชายผมทองพลางกัดฟันกรอดจ้องเขม็งอย่างโกรธแค้น

เร็นคว้าที่ข้อมือขาวก่อนจะออกแรงบีบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนที่กำลังเดือดดาลต้องยอมปล่อยมือออก นัยน์ตาสีฟ้าสว่างที่จ้องมานั้นไร้แววทะเล้นแบบที่เคยเป็น ชายหนุ่มส่ายศีรษะช้า ๆ ก่อนจะจับล็อคตัวของเขาไว้แล้วดันให้เดินตรงไปทางโต๊ะกลมซึ่งมีจานอาหารเช้าวางไว้พร้อม เขาถูกขืนบังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ

ฮิจิริคาวะบึ้งหน้าปรายตามองขนมปังกรอบและเส้นพาสต้าซอสมะเขือเทศในจาน เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทำของแบบนี้ในตู้และก็ไม่คิดว่าด้วยว่าอีกฝ่ายจะทำอาหารเป็น

               น่ากินใช่รึเปล่าล่ะ~” น้ำเสียงยียวนกลับมาอีกครั้ง เร็นขยับยิ้มบีบบ่าทั้งสองข้างแล้วเลื่อนมือลงมาที่แขนก่อนจะจับให้เลื่อนไปจับช้อนส้อม

               นายคิดว่าฉันจะกินลงรึไง ? ไม่ได้ประชดประชันแต่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากจะกลืนอะไรลงท้อง ทั้งขยาดทั้งแสบคอ ยิ่งถูกสองคนนี้ยืนจ้องด้วยแล้วยิ่งไม่มีอารมณ์อยากจะตักอะไรเข้าปากทั้งสิ้น

จินงูจิปล่อยมือออกแล้วส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ

               งั้นฉันควรให้ความเป็นส่วนตัวกับนายสินะว่าพลางไหวไหล่ก่อนจะเดินออกไปให้พ้นจากสายตาของผู้ที่นั่งจ้องจานอาหารด้วยสายตาเหม่อลอย


เขาไม่ได้หันมองตามอีกฝ่ายจึงไม่รู้ว่ายังแอบมองมาที่ตนอยู่หรือไม่ เส้นพาสต้าชุ่มซอสถูกเขี่ยไปมาในจาน ส้อมถูกปล่อยลงกระทบขอบจาน ฝ่ามือที่สั่นระริกเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วในคราเดียวด้วยความกระหาย

ดวงตาสีอเมทิสต์เหลือบมองมื้อเช้าบนโต๊ะอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ยอมที่จะตักขึ้นมากินสองสามคำก่อนจะวางส้อมลงตามเดิม อย่างน้อยก็ได้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง ไม่ใช่ว่ารสชาติย่ำแย่แต่พอนึกถึงหน้าคนที่ทำมันให้เขาก็ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหาร

ฮิจิริคาวะมองข้างของบนโต๊ะแต่ก็ตัดสินใจจะวางปล่อยไว้แบบนั้นทั้งที่ตามนิสัยของตนแล้วจะยกไปเก็บและทำความสะอาดให้เรียบร้อย คงเพราะวันนี้มีแต่เรื่องชวนไม่สบอารมณ์และเขายังไม่อยากเขวี้ยงจานแตก




               หลังจากที่คิดได้ว่าเขาคงไม่สามารถทนหลบหน้าคนพวกนั้นได้ทั้งวันจึงลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าวแล้วตรงไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น คามิวและจินงูจิกำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาแต่เมื่อทั้งสองรับรู้ถึงการมาของเขาการสนทนาจึงหยุดลง คนผมบลอนซ์หรี่ตามองมาทางเขาก่อนจะเบือนหน้าหลบไปทางอื่น ส่วนอีกคนยกมือขึ้นทักทายแล้วกวักเรียกให้เดินเข้าไปใกล้

อะไรอีกล่ะ..

มุมปากสองข้างกดลงให้บึ้งหน้าแต่ก็ยอมเดินไปหาโดยที่ไม่ลืมที่จะทิ้งระยะห่างไว้ให้หลบหลีกทันหากเกิดอะไร

จินงูจิใช้สายตามองอย่างสอดส่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางขยับยิ้มออกมา เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกกคามด้วยสายตาที่สุดแสนจะเสียมารยาทนั่น

               ก่อนหน้านี้บรรยากาศไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ทัก นายเข้ากับชุดแบบนี้จริง ๆ ด้วยแฮะประโยคเอ่ยชมคงไม่ได้ทำให้ผู้รับฟังรู้สึกดีใจเท่าไหร่เนื่องจากอารมณ์ไม่ค่อยจะดี

               จะอยู่เฝ้าฉันกันทั้งคู่เลยหรอเขาเมินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดพร้อมกับถามกลับไป

               อยากให้อยู่ทั้งคู่เลยรึเปล่าล่ะ?~” เร็นเอ่ยถามด้วยเสียงหยอกล้อทั้งที่รู้แก่ใจว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าคงอยากจะไล่ออกไปทั้งสองคนนั่นแหละ

               อา..ถึงนายจะไม่อยากให้ใครอยู่เลยก็เถอะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะด้วยเหตุนั้นจึงเอ่ยดักทางเอาไว้แล้วเงยมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจนั่น

               นายจะให้ฉันเลือกสักคนงั้นสิ ? ฮิจิริคาวะยกแขนขึ้นกอดอกเปรยสายตามองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง จะเป็นใครก็ชวนอึดอัดใจทั้งคู่อยู่ดี

จินงูจิกวนประสาทเขาและชอบที่จะปั่นหัว เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้และเกลียดไปพร้อม ๆ กัน

คุณคามิวแม้จะพูดน้อยกว่าแต่จากเรื่องที่ผ่านมาก็ทำให้ไม่อยากจะอยู่ใกล้ให้เจ็บแค้นใจเปล่า ๆ

มีแต่ทางเลือกที่แย่ขึ้นกับว่าอะไรจะทำให้เขารู้สึกแย่ได้น้อยกว่ากันเท่านั้น


               คุณคามิว..ตัดสินใจได้ไม่ยาก..


เจ้าของนามเหล่กลับมามองเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว ส่วนชายอีกคนขยับยิ้มบางพร้อมยันกายลุกขึ้นยืน

เขาสูดหายใจลึกพลางปิดลงตาก่อนจะเอ่ยพูดต่อ


               ช่วยออกไปเถอะครับ


เมื่อจบประโยคคนทั้งสองต่างเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาคู่สีน้ำแข็งนิ่งงันไประยะหนึ่ง คามิวหันขวับมาหาผู้ที่ออกปากไล่ตนก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตูแล้วออกไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร

จินงูจิมองตามชายผมบลอนซ์จนกระทั่งหายไปจากห้องก่อนจะหันกลับมาหาฮิจิริคาวะมายืนนิ่งไม่แม้แต่จะจะเหล่มองคนที่จากไป

               ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ ? ในวินาทีที่ชื่อของคามิวถูกเรียกเร็นคิดว่าตัวเองคงจะเป็นคนที่ต้องออกไปเสียแล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ไหนจะเรื่องระหว่างคนทั้งสองที่พอจะคาดเดาได้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา

               ฉันไม่คิดจะพิศวาสนายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิดไปล่ะเขาเอ่ยดักทางเอาไว้ก่อนและเลือกที่จะไม่ตอบคำตอบของอีกฝ่าย
ฮิจิริคาวะเดินผ่านหน้าของอีกคนเพื่อไปนั่งบนอีกฝั่งของโซฟา เอนหลังพิงแล้วถอนหายใจยาวออกมาแต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลในใจแต่อย่างใด

ชั่ววูบหนึ่งที่แววตาสีฟ้าฉายแววหม่นลงก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม

               เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะ.. อยู่กับบารอนจะทำให้นายปวดใจมากกว่าสินะ?เร็นทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วเอ่ยออกมาลอย ๆ ไม่ได้คาดหวังคำตอบ

               “นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่าก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรกันเขาเลือกที่จะเมินคำถามของอีกฝ่ายอีกครั้งเพราะรู้อยู่ว่าจินงูจิคงแค่พูดไปเรื่อยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร

จินงูจิเขยิบตัวเข้ามาให้ใกล้ขึ้นอีกแล้วโน้มตัวมาจ้องใบหน้าโดยใช้มือข้างนึงยันไว้บนพนักพิงของโซฟา ทำให้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองประจันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แววตาของหมอนั่นแฝงด้วยเลศนัยไม่ต่างกับรอยยิ้ม

               แล้วฉันจะได้อะไรตอบแทนล่ะ ?น้ำเสียงหรี่เบาลงจนกลายเป็นการกระซิบ

เขาชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วดันให้ออกไปอยู่ห่าง ๆ เพราะการที่อยู่ใกล้ชิดกันแช่นนี้มันชวนให้นึกถึงเรื่องแสนอัปยศที่เคยเกิดขึ้น

               อะไรกัน..คิดจะใช้ประโยชน์จากฉันอยู่ฝ่ายเดียวเลยหรอเร็นทำเสียงตัดพ้อแต่ก็ยอมถอยตัวออกไป

เขามองค้อนคนแสร้งทำเสียงเศร้านั่นพลางเบ้ปากใส่

               เหอะ..ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรกใช้ประโยชน์อะไรกันมีแต่เขาต่างหากที่เสียผลประโยชน์ในทุกทางจะทั้งเต็มใจหรือไม่ก็ตาม การที่โดนหลอกให้ไว้ใจ การที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่ การที่ถูกเค้นให้ตอบเรื่องที่ไม่ได้รู้จนถูกหาว่าโกหกเขา การที่ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีจนไม่เหลือ

จนเขาไม่สามารถจะคิดภาพหลังจากนี้ออกเลยว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยังไง

ไม่สิ จะรอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ได้ยังไงก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ

จะตั๊นท์หน้าหมอนี่แล้ววิ่งออกไปจากห้องนี้...ถ้ามันง่ายดายเช่นนั้นก็คงดี จากการที่สามารถพาตัวเขามาได้หลายวันโดยไม่มีใครสงสัยแบบนี้แล้วคงไม่ใช่คนระดับธรรมดาหรือใช้แผนการกระจอก ๆ เป็นแน่ แหงสิ..ใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้าอย่างต่ำก็คงสี่เดือนนับตั้งแต่ที่คุณคามิวแฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาฯของเขา

ฮิจิริคาวะก้มหน้าที่สลดลงจ้องไปที่หน้าตักตนเอง มือทั้งสองขยำผ้าของชุดที่ใส่ระบายความอัดอั้นใจที่ตนนั้นไม่รู้อะไรและไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย คิดจะหนีก็ทำไม่ได้ จะหาข้อมูลมาแก้ต่างให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อีก


               อาจจะมีคนกำลังโยนความผิดให้นายอยู่ก็ได้คนที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดออกมาลอย ๆ โดยที่ไม่ได้หันมอง


ฮิจิริคาวะเลิกคิ้วอย่างงุนงงกับประโยคที่ได้ยิน สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั่นคือการตอบคำถามของเขาอย่างนั้นหรือ


โยนความผิด ?

เรื่องอะไรกัน..


               นายหมายความว่าอะไร..สิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกคาใจเป็นอย่างมากและเขาก็ต้องการที่จะรับรู้ข้อมูลให้มากกว่านี้ อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบไม่ได้พูดต่อแต่เขาก็ยังคงนั่งจ้องรอคำตอบ

จนในที่สุดสายลับหนุ่มก็เขยิบตัวหันมาทางเขาแล้วจ้องหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

               ขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง แต่ตอนนี้ฉันบอกนายได้เท่านี้แหละแววตาที่มองมานั้นดูสงบนิ่งไม่สมกับเป็นเจ้าตัวแต่กระนั้นก็เหมือนซ่อนหลากหายความรู้สึกเอาไว้


แววตาแบบนี้รวมทั้งคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเป็นความจริงหรือเปล่า ?

แล้วเขาเลือกที่จะเชื่ออะไรในตอนนี้ได้บ้างหรือเปล่า ?


               “กำซะแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ยับหมดหรอกน่าจินงูจิพูดทักขณะจ้องฝ่ามือที่ขยุ้มชุดยูคาตะอยู่มาพักใหญ่ ๆ

คนถูกทักรับคลายมือออกในทันทีแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ทั้งสองนั่งนิ่งเงียบมานานราว ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้วไม่มีใครลุกหรือขยับตัวไปไหน

               บารอนอุตส่าห์ไปหามาให้เลยนะ~” คงเพราะเป็นนิสัยติดตัวจึงได้พูดแซวหยอกล้อโดยไม่ยอมดูบรรยากาศ หรือไม่ก็จงใจทั้งที่ดูออก

เขานิ่งไปยามที่ได้รับรู้ว่าเสื้อผ้าที่เขานึกแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นยูคาตะแท้จริงแล้วคน ๆ นั้นเป็นผู้เลือกมาให้เอง อันที่จริงเขาก็เคยบอกคุณคามิวเอาไว้ช่วงที่ได้ไปทำงานนอกสถานที่ในโรงแรม เพราะที่พักเป็นสไตล์แบบดั้งเดิมจึงมีการเปลี่ยนชุดมาใส่ยูคาตะ ซึ่งก็ได้เปรยออกไปว่าปกตินั้นเวลาที่อยู่บ้านเขาก็มักจะสวมเป็นประจำอยู่แล้ว

ไม่นึกว่า..อีกฝ่ายจะจำได้..

ดีใจอย่างนั้นหรือ ก็ไม่เชิง.. จะว่าเจ็บใจที่ดันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็ใช่

ความเจ็บแปลบแล่นเข้ามาในอกจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้


เกลียดความรู้สึกที่ตีกันแบบนี้ชะมัด


               จริงด้วย..วันแรกคนที่เช็ดตัวกับทำความสะอาดตัวให้นายก็คือบารอนล่ะเร็นยังคงเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจว่าสีหน้าของคนฟังจะรู้สึกอึดอัดขนาดไหน

               ผ้าเช็ดหน้านั่นนายก็ปักให้บารอนสินะ ?

               เลิกพูดถึงซะทีเถอะที่ยอมเลือกอยู่กับจินงูจิทั้งที่หมอนี่ปากมากพูดเยอะแถมน่ารำคาญก็เพราะมันดีกว่าที่ต้องทนอึดอัดมองหน้าหรืออยู่ร่วมกับคนที่หลอกลวงเขานั่นแหละ

               นายคงรักบารอนมากจนตัดใจไม่ได้ล่ะสิอีกฝ่ายยังคงไม่เลิกจี้ประเด็นนี้ไหนจะน้ำเสียงยียวนนั่นอีก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังสนุกที่ได้ทำ

               ฉันบอกให้หยุดพูดไงเล่า!!” เขาตะคอกใส่สุดเสียงด้วยความอารมณ์ที่เดือดพล่าน

แทนที่จะสำนึกอีกฝ่ายกลับทำสิ่งที่ทำให้เขาต้องโมโหยิ่งกว่าเก่า

หมอนั่นขยับยิ้มแล้วหัวเราะใส่


               แทงใจดำรึไง ?


สิ้นคำพูดกำปั้นก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าคนกวนประสาทอย่างรวดเร็วจนต้องหันไปตามทิศทางของแรง เจ้าของหมัดยังคงกำไว้แน่นจนมือสั่นจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้อไปยังผู้ที่ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากที่ถูกชก

จินงูจิไม่ได้มีสีหน้าตื่นตกใจอะไรกับการกระทำของอีกคนพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ซึมบนมุมปากด้วยท่าทีใจเย็น

               คงสนุกมากสินะที่ได้ย่ำยีความรู้สึกคนอื่นน่ะเนื้อตัวสั่นเทาด้วยโทสะเขานึกอยากจะฝากรอยชกไว้บนหน้าอีกฝ่ายเพิ่มสักสองสามรอย

               สนุกสิ..ยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้แล้วทำให้ฉันสนุกมากเลยล่ะเร็นเอ่ยแบบไม่ยี่หระพร้อมกับยักไหล่ทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เขาอาจจะคิดผิดอย่างมหันต์ก็ได้ที่เลือกให้จินงูจิเป็นผู้อยู่เฝ้า

               นายมันน่ารังเกียจที่สุดรู้ว่าต่อให้สถบด่าแค่ไหนก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ

               นายเองก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรอ..ฉันจำได้ว่านายเป็นฝ่ายที่บอกฉันเองนะ แถมยังยอมแบ่งไปจากฉันอีกด้วยปลายลิ้นตวัดเลียคราบเลือดก่อนจะขยับปากวาดยิ้ม

ฮิจิริคาวะเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อเมินคำพูดนั่น เมื่อรู้สึกว่าการอยู่ตรงนี้คงไม่ก่อให้เกิดอะไรมากไปกว่าสงครามประสาทเขาจึงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหนีกลับไปที่ห้อง

ทว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น..

ฝ่ามือสีแทนเอื้อมมือมาคว้าข้อมือขาวเพื่อรั้งเอาไว้ ชายผมสั้นไม่ได้หันหน้ากลับไปมองและพยายามสะบัดทิ้ง


               คิดว่านายจะเถียงฉันกลับซะอีก..อย่างเช่น.. มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก’ ” ออกแรงดึงให้ถอยกลับมาจนแผ่นหลังมากระทบที่แผ่นอก

               นายจะยังต้องการอะไรจากฉันอีกล่ะฮิจิริคาวะพยายามควบคุมโทนเสียงให้นิ่งที่สุด

ผู้ที่อยู่ข้างหลังลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางเลื่อนแขนมาโอบร่างตรงหน้าไว้ก่อนจะก้มลงกระซิบชิดใบหู

               ฉันสนความต้องการของนายมากกว่านะ..อยากจะใช้ประโยชน์จากฉันอีกหรือเปล่าล่ะ ?

               “ฉันไม่มีอารมณ์เขาเอ่ยปฏิเสธและขืนตัวออกจากอ้อมแขนอีกคนได้โดยง่าย

เร็นไม่ได้พยายามยื้อตัวหรือเกลี้ยกล่อมอะไรแล้วยืนมองอยู่เฉย ๆ ขณะที่ฮิจิริคาวะเข้าห้องนอนไปแล้วปิดประตูใส่หน้า นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมเพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดไปจากที่คาด



ก็ไม่ได้คาดเดาได้ถูกเสมอไป..



บานประตูไม้ถูกเปิดแล้วปล่อยให้แง้มออกมาอย่างช้า ๆ เงาร่างของผู้ที่อยู่ด้านในกำลังยืนหันข้างอยู่ไม่ห่างจากประตูสามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน แขนทั้งสองกำลังหอบผ้าสีกรมท่าไว้อยู่ นัยน์ตาคู่อเมทิสต์ที่หม่นหมองจนไร้แววเหล่มายังผู้ที่อยู่ข้างนอก กองผ้าที่ถูกขยำเป็นก้อนถูกโยนออกมาใส่ร่างสูงที่กำลังงุนงง

               ช่วยเอาไปทิ้งทีสิ..มีมันอยู่ด้วยฉันทำไม่ลงหรอกเอ่ยออกมาด้วยเสียงแข็งราวกับเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ นัยยะหนึ่งคือต้องการหมายถึงผู้ที่มอบให้กับเขา ตัวตนจริง ๆ ที่ไม่ต้องการจะนึกถึง


               ฉันจะใช้ประโยชน์จากนายให้มากที่สุด..ต้องการแบบนั้นไม่ใช่รึไง





               เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะคลอไปพร้อมกับเสียงครางและกรีดกรายปลายเล็บลงบนผ้าปูเตียง ปลายนิ้วเท้าจิกลงระบายความเสียวซ่านที่แล่นผ่านจากต้นขาไล่ไปตามข้อเท้าที่สั่นเกร็ง ความร้อนประทับลงแนบกับผิวเนื้อนุ่มส่วนที่บางไวสัมผัส ไล่เข้ามาจนศีรษะชิดกับกลางลำตัว มือทั้งสองขยุ้มเส้นผมยาวสีทองใช้ไว้เป็นที่ยึดขณะเอวบิดเร่าไปมา ริมฝีปากเผยออกจนหยาดน้ำลายใสเยิ้มที่ข้างมุมปาก


               อะไรกัน..ทำท่ารังเกียจฉันแท้ ๆ แต่กลับความรู้สึกไวจริงนะอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ


แต่กลับถูกทึ้งเส้นผมอย่างแรงจนต้องเงยขึ้น


               หุบปากไปซะ...ฉันไม่ต้องการได้ยินเสียงของนาย..


เร็นเพียงขยับยิ้มไม่ส่งเสียงตอบรับเพราะตนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะรับรู้ตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหน้าว่าแท้จริงแล้วคือเขา ฝ่ามือเอื้อมขึ้นลูบที่ข้างแก้มบนใบหน้าซึ่งถูกโอบิเส้นสีดำคาดปิดตาเอาไว้ ชายหนุ่มเลื่อนตัวขึ้นไปคร่อมไว้เหนือร่างที่ถูกปิดกั้นการมองเห็น ไล้นิ้วป้งกดไปบนกลีบปากที่ขยับเรียกเอือนเอ่ยถึงชื่อ


               ผม..รักคุณ...คุณคามิว..



ถ้อยคำนั้นถูกประกบปิดไว้ด้วยรสจูบที่ร้อนแรงซึ่งช่วยสุมไฟในกายให้ยิ่งลุกโชน สองแขนเรียวยกขึ้นโอบไว้รอบที่หลังคอเบียดเสียดกายเข้าหา สำนึกทั้งหมดได้ถูกเผาไหม้ไปจนสิ้น จะเหลือไว้ก็เพียงความสุขที่หลอกลวง





-TBC.-