คงต้องย้ายบ้านมานี่เป็นบ้านหลักจริงๆแล้วล่ะ แต่ต้องใช้เวลาขนของนานหน่อย
Fan-fiction Utapri
Title : Majestic Spiky's collar
Pairing : Camus x Kurosaki Ranmaru
Genre : AU, Drama(little)
Note : อ้างอิงธีมหลักจาก Joker Trap
ควันจางพ่นแทรกอากาศหนาวจนขึ้นสีจางขาวเป็นกลุ่มไอ
กลิ่นคาวเหล็กคลุ้งทั่วติดอยู่ในลมหายใจ
แขนเสื้อสูทถูกยกขึ้นเช็ดคราบเลือดที่กบปากก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างนึกแค้นใจไม่ทางจากดวงตาสองสีที่วะวับแสงขณะเพ่งมองในความมืดไปทางเบื้องหลัง
เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามหลังยังคงดังอยู่ทำให้เขารู้ว่ายังหนีพวกมันได้ไม่พ้น
ถึงแม้ขาทั้งสองจะก้าวได้ไม่สะดวกนักก็ต้องทนฝืนวิ่งต่อไปในตรอกแคบๆที่มืดจนแทบไม่เห็นทาง
หากอยู่ในสภาพปกติล่ะก็จำนวนคนแค่นั้นไม่คณามือเขาหรอก
พวกลอบกัดเอ้ย..แถมยังไล่กัดไม่ปล่อยอีก
จะว่าเพราะความใจร้อนของตัวเองก็มีส่วนที่ไม่ยอมดำเนินการตามแผน แต่เขาเป็นพวกประเภทที่ไม่ชอบทำงานร่วมกับใครอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ยิ่งต้องมารอคนอื่นยิ่งเสียเวลาสู้ไปเองคนเดียวน่าจะง่ายและรวดเร็วกว่า
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาถูกตลบหลังจนทำให้พลาดท่าแบบนี้
เสียงปลดเซฟล็อกแม้จะเบาสำหรับคนปกติด้วยระยะที่ทิ้งห่างอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีทางหลุดเล็ดลอดไปจากโสตประสาทชั้นเยี่ยมของสายลับที่ถูกฝึกมาอย่างดี
เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว
อีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคยดี..รอถึงแค่ทางเลี้ยวคงจะสลัดพวกนั้นให้หลุดไปได้
ฝีเท้าที่สภาพไม่เต็มร้อยเพิ่มความเร็วให้วิ่งเลี้ยวเข้าไปยังทางแยกซึ่งฝั่งหนึ่งออกไปสู่ถนนใหญ่กับอีกฝั่งที่เหมือนจะเป็นซอยตัน
ตามปกติแล้วสถานการณ์แบบนี้คงไม่มีใครคิดจะวิ่งเข้าหากำแพงให้ตัวเองถูกจับ..
นี่แหละโอกาสที่จะสลัดให้หลุด
จริงๆแล้วตามตรอกลึกแห่งนี้เคยเป็นตึกเช่ามาก่อนข้างกำแพงของทุกบล็อคก็ไม่แปลกที่จะมีบันไดฉุกเฉิน
แม้สภาพจะผุกร่อนไปตามเวลาจนเหมือนจะหักลงมาได้ทุกเมื่อแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้ใช้ยึด
ไอ้พวกเรื่องหาทางหนีทีไล่ตามสถานการณ์เป็นอีกเรื่องที่เขาถนัด..
สายเข็มขัดถูกถอดก่อนจะปลดล็อคให้ยืดออก
เบาตัวขึ้นอีกหน่อย..เพราะหัวเข็มขัดที่ใส่ถูกถ่วงน้ำหนักไว้ใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ใช้สายตากะระยะเพื่อที่จะออกแรงให้พอดี
เข็มขัดยาวถูกเหวี่ยงไปให้พันกับราวบันไดสองรอบครึ่งได้จนพอจะยึดติดไม่ให้หลุด
ย่อตัวลงก่อนจะกระโดดให้พื้นรองเท้าข้างหนึ่งแตะทำมุมกับผนังด้านข้างแล้วจึงค่อยถีบดันตัวให้สปริงขึ้นไปเพื่อคว้าขอบกำแพงสูงไว้
มือซ้ายรีบม้วนสายเข็มขัดให้สั้นลงประคองตัวไว้ให้สมดุล แขนข้างที่มือเกาะเกร็งแน่นเพื่อยกตัวให้พ้นไปยืนยังด้านบนก่อนจะกระโดดลงที่อีกฝั่ง
ทันทีที่ร่างลงสู่พื้นความเจ็บแปลบจากข้อเท้าก็แล่นขึ้นมา..
ด้วยจังหวะที่รีบร้อนกับร่างกายที่ยังสะบักสะบอมอยู่พอควรทำให้ลงมาผิดท่า
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็คงจะพ้นจากพวกนั้นแล้ว..
ไม่ทันจะได้สูดลมหายใจให้ทั่วท้อง..เมื่อเงยใบหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า
หนีเสือปะจระเข้งั้นเรอะ..?
คงจะน้อยเกินไปถ้าจะเทียบกับบุคคลที่ยืนวาดยิ้มอยู่ในตอนนี้
“ผมควรจะดีใจสินะ
ที่หมาที่ตัวเองเคยฝึกจะมาไกลได้ถึงขนาดนี้”
ใบหน้าของชายคนนี้ไม่มีทางที่จะลืม
ฮาริยะ..
“แก..”
คำรามลอดไรฟันด้วยความโกรธแค้น มือทั้งสองกำหมัดแน่นจนสั่น
สายตาสีต่างจ้องอย่างไม่สามารถจะกักเก็บความอาฆาตให้ซ่อนไว้ได้
ฆ่า..
อยากจะฆ่ามันซะตรงนี้
“คงไม่คิดจะทำอะไรที่รู้ว่าไม่มีทางทำได้อยู่หรอกนะ?”
ชั่วครู่นึงที่แววตาสงบนิ่งนั้นเปลี่ยนไป
สาดส่องมองร่างตรงหน้าอย่างพินิจก่อนจะจ้องลึกกลับมาจนรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่พุ่งเสียบแทงเข้ามาจนทำให้จุก
ชายในชุดโค้ทยาวสีเข้มเหล่สายตาคล้ายจะให้มองตามไปยังกลุ่มคนที่ยืนล้อมอยู่รอบตน
“ผมแค่จะมาสร้างหนี้เพิ่มให้เท่านั้น”
สัมผัสจากถุงมือซึ่งถูกสวมวางแตะลงที่ปลายคางก่อนจะดันให้เงยมองตรงๆ
สกปรก..ขยะแขยง
“แล้วจะมาทวงให้ชดใช้ทีหลัง..”
ข้อเสนอที่ถูกยัดเยียด..
ไม่มีหนทางจะปฏิเสธแม้จะยอมตายก็เถอะ
ไม่สิ..ไม่มีสิทธิ์ที่จะตายแต่แรก
เพราะชีวิตนับตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ไม่อาจทำลายทิ้ง
เสียงฝืดที่พยายามทำให้เบาที่สุดของบานพับ
การที่ประตูถูกเปิดยามวิกาลเช่นนี้ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องแปลกเสียเท่าไหร่
ชุดสูทเปื้อนเลือดที่แห้งจนเป็นสีกลืนกันไปถูกถอดทิ้งไว้ที่พื้น
เสื้อเชิ้ตตัวในสภาพก็ไม่น่าจะนำกลับมาใส่อีกได้แน่ๆ รอยขาดวิ่นเป็นทางเผยรอยบาดจากของมีคมที่ผิวกายขาวทำให้เด่นชัดแม้ในแสงสลัว
ฝ่ามือยกขึ้นเสยเส้นผมสีเทาเงินที่ยุ่งไม่เป็นทรงเปิดใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำ
แผลกับรอยเขียวเต็มตัวแถมด้วยกลิ่นคาวเลือดฟุ้งดูจะเป็นเรื่องปกติ
เพราะอีกคนที่อยู่ด้านในห้องยังคงนั่งนิ่งจิบชามองด้วยสายตาคู่สีสว่างอย่างนิ่งๆด้วยท่าทีไม่ยี่หระใดๆ
“งี่เง่าไม่พัฒนา..”
คำทักทายแรกที่ชวนให้เส้นกระตุกเล็กๆ
และโดยปกติคงจะมีสงครามน้ำลายขนาดย่อมที่ก่อขึ้นในไม่ช้า..
หากแต่วันนี้มีเพียงความเงียบแทน
คิ้วบนดวงหน้าของชายวางมาดดั่งผู้ดีตะวันตกเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกประหลาดใจ
ถ้วยชาสีขาวถูกวางไว้บนจานรองแก้วบนโต๊ะเล็กก่อนจะเริ่มสังเกตสีหน้าของคนที่ยืนนิ่งมาได้สักพัก
“เจ้าจะยืนให้พื้นเปรอะเลือดอีกนานหรือเปล่า?
โสโครกสิ้นดี” ทั้งที่ทุกครั้งจะหูดีเกินไปแท้ๆ แค่พูดบ่นเบาๆก็ดันได้ยินไปเสียหมด
แต่ร่างนั่นกลับยังนิ่งไร้การตอบสนอง
“Spiky
club
ไปจัดการสภาพอันน่าสมเพชของเจ้าเสียบัดนี้ นี่คือคำสั่ง!” สิ้นเสียงสั่งร่างนั่นก็เหมือนจะรู้สึกตัวก่อนจะเดินผ่านโถงใหญ่ตัดหน้าเขาไปโดยไม่เงยมองไปทางห้องของตัวเอง
สายตาระดับเขาเสี้ยววินาทีเดียวก็จับรายละเอียดได้ทั้งอาการที่แสดงออกคล้ายกำลังช็อค..นอกจากนั้น..
ดวงตาคู่สีที่ต่างกันนั้นไม่ได้ต่างจากแววตาของสัตว์ที่กำลังตื่นกลัว..
สั่นระริกและอ่อนไหวอย่างชัดเจน
ทั้งที่ออกจะแข็งกร้าวอยู่ตลอดเหมือนสัตว์ดุร้ายที่ไม่น่าจะเชื่องเลยแท้ๆ
ความผิดปกติครั้งนี้คงไม่สามารถจะปล่อยผ่านไปได้
เห็นทีข้าอาจจะต้องลองรื้อประวัติของเจ้าใหม่อย่างละเอียดอีกสักครั้งเสียแล้ว
คุโรซากิ
ปลายแขนเสื้อยาวถูกพับทบขึ้นไม่ให้เกะกะเผยรอยสักรูปโพธิ์ดำที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำตัวที่ข้อมือ
ปลายนิ้วแตะลงบนปุ่มสัมผัสเพื่อเปิดให้แท่นซึ่งซ่อนอยู่ใต้พื้นเลื่อนขึ้นมา แสงจากลำกล้องซึ่งอยู่ทุกมุมส่องเข้ามารวมเป็นภาพจอขนาดใหญ่ลอยบนอากาศ
โดยมีจุดรวมอยู่ที่กลางห้อง
แป้นสัมผัสเองก็เป็นภาพโฮโลแกรมสามมิติเช่นเดียวกัน
หลังจากป้อนสิ่งที่ต้องการหาลงไปรอเพียงไม่กี่วินาทีภาพก็ปรากฏตรงหน้า
[Code name: SPIKY CLUB]
ชื่อจริง คุโรซากิ รันมารุ ..พวกข้อมูลพื้นฐานทั่วไปถูกมองอย่างผ่านๆก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ส่วนเกี่ยวกับประวัติ
อความารีนสองข้างไล่ละเอียดทีละตัวอักษร ทั้งที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ไปอยู่หลายครั้ง..
“หืม..”
กลับนึกสะดุดอยู่ที่ช่วงแรกนอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวแล้ว..
ก่อนจะถูกดึงตัวเข้ามาที่นี่เคยทำงานให้กับองค์กรอื่นซึ่งได้ถูกสลายไปแล้ว
ซึ่งมีผลกระทบกับธุรกิจครอบครัวโดยตรงจนถึงขั้นทำให้บริษัทในเครือล้มละลาย มีข่าวว่าเป็นคนในเองที่เป็นสาเหตุซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่สามารถจะตามตัวหรือติดต่อได้
ระดับความสามารถอยู่ในขั้นดีเยี่ยม ซึ่งถ้าไม่ได้รับการฝึกมาก่อนหน้านี้คงไม่มีทางจะทดสอบผ่านได้ด้วยคะแนนระดับสูงจากที่เห็นในบันทึกได้
ช่วงระยะแรกถูกจับตามองเพราะยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าอยู่ในระดับที่ไว้วางใจได้หรือไม่
คงจะเพราะมีประวัติว่าเคยทำงานให้กับพวกอื่นมาก่อนหน้านี้
บุคคลิกนิสัย ..คร่าวๆคงจะประมาณพวกอารมณ์ร้อน ใช้ความรุนแรง ไม่ไว้ใจใคร
ชอบทำงานคนเดียว
มาถึงตรงนี้อาจจะพอเชื่อมโยงอะไรบางอย่างได้บ้าง..
มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าหากถามไปแล้วยอมเล่าความจริงมาจากปากเจ้าตัว..ซึ่งคงไม่มีทาง
ไหนจะเรื่องภารกิจในตอนนี้ที่มอบหมายไปจะล่าช้ากว่ากำหนดการ
แม้แต่ข้อมูลสักเพียงนิดก็ยังไม่ได้มา
ช่างมีแต่พวกสร้างปัญหาให้เสียจริง
ของหวานหลากสีสันถูกจัดวางเรียงบนชั้นอย่างสวยงามสมระดับฝีมือ
ทุกชิ้นล้วนบรรจงแต่งแต้มไม่เพียงรูปลักษณ์ รสชาติ
แต่ว่ากลิ่นก็หอมหวนชวนเรียกให้ต้องลังเลใจที่จะซื้อ
หญิงสาวมากมายแทบทุกวัยต่างเป็นกลุ่มผู้ถูกดึงดูดเข้ามายังร้านที่เพียงมองจากการประดับข้างนอกก็รับรู้ถึงความหวานของขนมข้างใน
ไม่เพียงแต่เป็นร้านขายเบเกอรี่และเค้ก ยังมีส่วนที่เป็นที่นั่งพักเปิดให้บริการเฉพาะช่วงเวลาน้ำชาอีกด้วย
ร้านนี้แม้จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่มากขนาดภัตตาคารหรูแต่ก็มีชื่อไม่น้อยตามนิตยสารหรือแม้กระทั่งรีวิวตามบล็อคจากผู้ที่เคยมาเยือน
ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่หวนกลับมาอีกครา
สิ่งดึงดูดใจหลักๆอีกอย่างคงไม่พ้นเจ้าของร้านแห่งนี้..
“ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการจะรับสิ่งอื่นเพิ่มด้วยหรือไม่”
ชายร่างสูงในชุดเชิ้ตขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำมันค้อมตัวลงเล็กน้อยหลังจากที่ ‘คุณหนู’ ที่ว่าได้ตอบกลับคำถามที่เอ่ยอย่างสุภาพพร้อมน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“เช่นนั้นหากมีอันใดก็สามารถเรียกกระผมได้ทุกเมื่อ”
สิ้นคำก็เดินกลับไปยังที่หลังร้านซึ่งเป็นส่วนที่ให้เข้าได้เฉพาะพนักงานเท่านั้น
“เห็นแกสภาพนี้แล้วพะอืดพะอมชะมัด..” เสียงบ่นดังมาจากชายผมสีเทาเงินซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนส่วนในมือกำลังเทแป้งใส่ในถ้วยตวงพลางเหล่สายตาเล็กน้อยไปยังคนผมยาวที่มัดรวบไว้ด้วยริบบิ้นดำ
“โฮ่..
กลับมาปากเก่งเหมือนเดิมแล้วนี่” สีหน้าและแววตาที่ปั้นเป็นอย่างดีตอนอยู่หน้าร้านกลับมาเป็นแบบปกติเมื่อเดินพ้นประตูเข้ามา
“หึ..”
คล้ายเป็นเสียงตัดจบบทสนทนาจากผู้ที่ยกถาดเข้าไปใส่ในเครื่องอบ
ใบหน้าของคุโรซากิเต็มไปด้วยพลาสเตอร์กับผ้าปิดแผลแทนรอยฟกช้ำ
ส่วนท่าทางการเดินเองก็พอจะทำให้รู้ได้ว่ายังไม่หายดีเสียเท่าไหร่
“แต่ดูท่าสังขารเจ้าคงยังไม่หายดีเหมือนปาก
แบบนี้หากทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานร้านของข้าคงถูกปิด”
“ถ้าให้แกทำของทั้งหมดในร้านเองฉันว่าร้านคงโดนปิดเพราะทำให้คนเป็นเบาหวานมากกว่าว่ะ..”
หลังจากตั้งเวลาเสร็จก็หันมาต่อปากต่อคำดังเดิมก่อนจะกอดอกยืนพิงเค้าท์เตอร์จ้องกลับมา
ชายหนุ่มเจ้าของร้านเพียงจ้องกลับไปก่อนที่จะสาวเท้าเข้าไปหาใกล้ๆเพื่อพินิจมองให้แน่ใจ
“จ้องอะไรของแก?”
คนที่ถูกมองนานเข้าเริ่มจะรำคาญก่อนจะเป็นฝ่ายที่หลบสายตาไปเอง “ขวางทางชะมัดหลีกไปน่า..”
แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขากลับถูกคว้าไหล่ไว้ก่อนจะดันให้หันหน้าเอนราบลงไปกับเค้าท์เตอร์
ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบใช้แขนอีกข้างยกขึ้นหมายจะศอกใส่เต็มแรงแต่ก็รู้อยู่ว่าอีกคนเองคงจะรับมือได้ไม่ยากเท่าไหร่
“เฮ้ย! ปล่อยนะว้อย”
ส่งเสียงตะโกนดังมากไม่ได้เพราะอาจจะดังไปถึงข้างนอก..
ทันทีที่มือเอื้อมมาข้างหน้าเพื่อปลดเม็ดกระดุมออกก็เริ่มรู้สึกทันทีว่าที่ต้องไม่ใช่สถานการณ์ปกติอย่างแน่นอน
เท้าถูกยกขึ้นหมายจะเหยียบให้เต็มแรงก็ถูกจับทางได้ทันอีก
จนกระทั่งเสื้อถูกร่นลงไปทางด้านหลัง
“คามิว..!!”
คุโรซากิแผดเสียงขู่ในทันที
“หึ..ไม่ใช่รอยช้ำจริงๆด้วย”
ปลายนิ้วยาวแตะลงบนรอยแดงเป็นจ้ำที่รอบต้นคอตั้งแต่ด้านหลังไล่ไปยังลำคอด้านหน้า
นั่นเองทำให้คนที่กำลังดิ้นขัดขืนอยู่ต้องชะงักไป
“ยังมีที่อื่นอีกหรือไม่..ตอบข้ามา”
เสียงที่ถามคล้ายจะเค้นคำตอบ
“ไม่ใช่เรื่องของแก..” ก็รู้ดีว่าคงไม่ตอบออกมา
เขาจึงตัดสินใจผละออกจากอีกคนก่อนจะเดินห่างออกมายืนกอดอกมอง
“ข้าแค่อยากจะเช็คสภาพเจ้าว่ายังสามารถทำงานต่อได้อีกหรือไม่เพียงแค่นั้น”
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่ใหญ่..แต่ก็ถูกแทรกขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ของเครื่องอบ
คุโรซากิรีบจัดเสื้อให้เรียบร้อยตามเดิมก่อนที่จะเดินไปเปิดฝาตู้อบแล้วนำถาดคุกกี้ออกมาโดยไม่พูดอะไรต่อจากเหตุการณ์เมื่อครู่อีก
ถัดมาเป็นเสียงกระดิ่งที่ดังจากหน้าร้านทำให้เขาต้องออกไปจากครัวเพื่อต้อนรับลูกค้าอย่างเสียมิได้
บาดแผลพวกนี้เคยเห็นมาจนแทบจะแยกได้ว่าโดนอะไรมาบ้าง
แต่รอยเมื่อครู่มองให้ชัดๆมันไม่ใช่รอยช้ำที่เกิดจากการถูกทำร้ายเป็นแน่
เพราะนั่นคือรอยจูบที่จงใจจะให้คนอื่นเห็นอย่างชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น